"วิชา" แถลงตอกฝาโลงปิดคดีถอดถอน"ยิ่งลักษณ์" ระบุผลจากรัฐบาลจำนำข้าว ทำให้ชาวนาต้องจำนำชีวิต ประเทศจำนำหนี้ พร้อมยกพระบรมราโชวาท ส่งเสริมคนดี ขจัดคนไม่ดีไม่ให้ปกครองบ้านเมือง ด้าน "ยิ่งลักษณ์" กางโพยโต้ข้อกล่าวหา อัด"วิชา"มโนภาพ ใส่ร้าย ยันเป็นนโยบายที่ชาวนาได้ประโยชน์ ด้านกมธ.ยกร่างฯฟันธง "ปู"ไม่รอด ปูดมีใบสั่งเชือดจาก คสช. เพื่อรักษา "เรือแป๊ะ" คาดเสียงถอดถอน ทะลุ 150 เสียง
เมื่อเวลา 10.20 น. วานนี้ (22ม.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.ทำหน้าที่ประธาน เพื่อพิจารณาดำเนินกระบวนการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ประกอบ ม. 64 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 เพื่อรับฟังคำแถลงการณ์ปิดสำนวนด้วยวาจาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้กล่าวหา นำโดยนายวิชา มหาคุณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหา
ทั้งนี้ นายวิชา แถลงปิดสำนวน โดยยืนยันว่า สนช.มีอำนาจถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกจากตำแหน่ง และตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะดำเนินการตามกฎหมายอย่างถูกต้อง และยืนยันว่า ป.ป.ช. ให้ความเป็นธรรมในการต่อสู้คดีแก่ผู้ถูกร้องอย่างเต็มที่ เป็นไปตามหลักนิติธรรมโดยชอบ
สำหรับโครงการรับจำนำข้าว ที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เลือกดำเนินการโดยกำหนดราคาข้าวสูงกว่าตลาด และรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ทั้งที่ ป.ป.ช. เสนอให้ประกันราคา เพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่ามาก แต่ผู้ถูกร้องก็ใช้เป็นโครงการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ในรูปแบบประชานิยม จนได้เป็นรัฐบาล โดยใช้กลซื้อใจชาวนา และดำเนินโครงการเรื่อยมา โดยให้ราคาข้าวสูงกว่าท้องตลาดกว่าเท่าตัว จนมีข้าว 10 ล้านตันอยู่ในโกดังรัฐบาล ทำให้รัฐบาลกลายเป็นผู้ค้ารายใหญ่ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ตรวจสอบและพบว่า มีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง เล่นแร่แปรธาตุ ทำกันเป็นกระบวนการเพื่อเอื้อประโยชน์ ให้ตัวเองและพวกพ้อง เรียกได้ว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย คือ การขายให้พวกพ้องในราคาถูก และนำไปขายในราคาแพงมหาศาล โดยอ้างว่า เป็นการขายแบบ รัฐต่อรัฐ ซึ่งไม่เป็นความจริง จนกระทั่งมีการชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา
**โชว์ใบเสร็จย้ำเหตุต้องถอดถอน
นายวิชา กล่าวว่า ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่า เป็นโครงการที่ดี และไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งที่ป.ป.ช.ได้ ทำหนังสือแจ้งเตือนไป 2 ครั้ง สตง.ได้ทำหนังสือเตือนไป 4 ครั้ง เพราะเป็นห่วงงบประมาณที่เสียหายอย่างไม่ที่สิ้นสุด พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ ยังได้พบความผิดปกติ ก็ให้ข้อเสนอแนะเพราะมีความเสี่ยงมากมาย แต่ผู้ถูกกล่าวหา และผู้เกี่ยวข้อง ยืนยันว่าจะต้องทำต่อไป เพราะเป็นสัญญาประชาคม เลิกไม่ได้
จนหลังการตรวจสอบจึงพบว่า เป็นโครงการ ที่สามารถตีแผ่ และจับทุจริตเชิงนโยบาย ที่กล่าวได้ว่า เป็นเรื่องทุจริตเชิงนโยบายที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่ประเทศนี้ได้เคยจับทุจริตมา มีการกล่าวอ้างว่า ชาวนาจะได้ลืมตาอ้าปาก และอ้างว่าได้ดำเนินการป้องกันเรื่องทุจริต ด้วยการแต่งตั้งอนุกรรมการขึ้นมาหลายชุด แต่กระบวนการตรวจสอบเหล่านั้น เป็นเพียงเครื่องบังหน้า และแสดงว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่รู้ ไม่ทราบ เพราะได้สั่งการไปแล้ว และตรวจสอบแล้ว จะได้ดำเนินโครงการต่อไป และเป็นการกล่าวอ้างให้พ้นความรับผิด
" ขณะนี้ ป.ป.ช. มาพร้อมใบเสร็จเรียบร้อย อันดับแรกคือ รายงานการปิดบัญชีของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี เมื่อเดือนต.ค. 54 - 22 พ.ค. 57 รวมระยะเวลา 2 ปี 6 เดือน ปรากฏว่า มีผลขาดทุนสะสมจากการระบายข้าว 518 ,000 แสนล้านบาท คิดเป็นผลขาดทุนปีละ 2 แสนล้านบาท หรือ เดือน 1.7 หมื่นล้านบาท อยากถามว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะคณะอนุกรรมการชุดนี้ ประกอบไปด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง และผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและแต่งตั้งโดยครม. และนายกฯ และรายงานให้นายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติทราบ ยังมีความเสียหายในการจัดเก็บข้าว โดยเมื่อ 12 ม.ค. 58 ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ก็แจ้งความดำเนินคดี ต่อกองปราบฯ แก่คู่สัญญาในโครงการรับจำนำข้าว ในฐานความผิดลักทรัพย์ ยักยอก และฉ้อโกง สร้างความเสียหาย 6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้เมื่อรวมความเสียหายจากการระบายข้าว และจัดเก็บข้าว ส่งผลให้เกิดความเสียหาย และภาระการใช้หนี้ในโครงการรัฐบาลที่ผ่านมา คาดว่าจะขาดทุน 7 แสนล้านบาท และตกเป็นเงินภาษีของประชาชน ซึ่งมีทางแก้ทางเดียวคือ ใช้หนี้เป็นเวลา 30 ปี หรือใช้หนี้กันถึงรุ่นหลาน ซึ่งกระทรวงการคลัง ต้องบริหารหนี้ ด้วยการกู้ และ ธ.ก.ส. กู้ไปพร้อมๆกัน และรัฐบาลปัจจุบันจะต้องออกพันธบัตรหาเงินมาใช้หลายแสนล้านบาท ดังนั้น ต้องคิดให้จงหนักว่า รัฐบาลที่แล้วได้ทิ้งอะไรไว้ในกลับลูกหลานของเราบ้าง”
**รัฐบาลจำนำข้าว ชาวนาจำนำชีวิต
ส่วนที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่า ข้อมูลการปิดบัญชีของอนุกรรมการปิดบัญชีฯ ไม่น่าเชื่อถือ ขอชี้แจงว่า คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้มีคุณวุฒิทั้งสิ้น และไม่ได้มีส่วนได้เสียและผลประโยชน์ทับซ้อนในโครงการแต่อย่างใด หากอนุกรรมการชุดนี้ มีเจตนาปิดบัญชีไม่ถูกต้อง ผู้ถูกกล่าวหาต้องดำเนินการทางวินัย และอาญากับพวกเขา แต่ไม่เคยทำ เพราะตระหนักรู้ว่าคณะอนุกรรมการชุดนี้ ทำโดยถูกต้อง สุจริต ตามอำนาจ และการปิดบัญชีครั้งแรก ผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยคัดค้าน แต่เมื่อแถลงปิดบัญชีครั้งที่สอง พบว่าขาดทุน 2.2 แสนล้านบาท ผู้ถูกกล่าวหาพยายามโต้แย้งให้เกิดความสับสน ไขว้เขวว่า การปิดบัญชีดังกล่าวไม่มีอำนาจหน้าที่ และทำไม่ถูกต้อง เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของผู้กล่าวหา ไม่ได้ทำให้ขาดทุน ชาวนาได้รวมกลุ่มกันภายใต้ชื่อ เครือข่ายชาวนาไทย เพื่อเรียกร้องค่าจำนำข้าว ภายหลังรัฐบาลที่แล้วให้ไม่ครบถึง 1 ล้านครอบครัว หรือเป็นเงินประมาณ 1.1 แสนล้านบาท และทำให้พวกเขาไปกู้เงินเพื่อดำเนินชีวิต เพราะไม่ได้รับเงินจากโครงการรับจำนำข้าว
"นี่คือความเศร้าสลดใจของชาวนาไทย มีหลายรายไม่อาจทนรอเงินจากรัฐบาล จึงได้ตัดสินใจ ฆ่าตัวตายเพื่อลาโลกนี้ไป ถือเป็นความเศร้าสลดใจอันสุดแสนทนทานได้ของพี่น้องร่วมชาติ แม้ คสช.ยึดอำนาจ และจ่ายเงินให้ชาวนาแล้ว แต่ความทุกข์ของพวกเขาก็ยังไม่จบ ผลของโครงการรับจำนำข้าว ยังติดตามเหมือนภาพมายาหลอกหลอนชาวนาต่อไป เพราะข้าวที่รับจำนำ ยังอยู่ในโกดัง 17 ล้านตัน จึงเป็นภาระของรัฐบาลปัจจุบัน ที่ต้องกระเสือกกระสน ระบายข้าวทั้งหมด นำมาใช้ภาระขาดทุน ที่ต้องใช้เวลาหลายปี และส่งผลกระทบกดดันราคาข้าวในฤดูกาลผลิตต่อไป และทำให้ราคาข้าวต่ำอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความทุกข์ยากของชาวนาแสนสาหัสขนาดนี้ ยังไม่มีผู้ใดออกมาแสดงความรับผิดชอบ รวมทั้งผู้ถูกกล่าวหา ยังไม่ขออภัยชาวนาแต่อย่างใด คงกล่าวแต่เพียงว่า โครงการนี้เป็นที่ชื่นชอบของชาวนา กระผมจึงอาจกล่าวได้ว่าโครงการรับจำนำข้าว สรุปเป็นคำสั้นๆ ว่า “รัฐบาลผู้ถูกกล่าวหาจำนำข้าว ชาวนาจำนำชีวิต และประเทศจำนำหนี้”
**ฉลาดแต่ไร้คุณธรรมทำประเทศเสื่อม
นายวิชา กล่าวว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาได้รับทราบตลอดมาว่าโครงการทุกขั้นตอนได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากมาย จนกระทบต่อระบบการเงิน การคลังของประเทศ และชีวิตของชาวนาอย่างกว้างขวาง แสดงให้เห็นว่า หากดำเนินโครงการต่อไปจะส่งผลร้ายยิ่งขึ้นกับประเทศ ตามพ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน 2534 มาตรา 11 ที่ต้องให้บริหารเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และบ้านเมือง ตนขอถามทุกท่าน โดยเฉพาะสนช.ว่า โครงการนี้คุ้มค่าและมีประสิทธิ์ภาพตรงไหน หลังมีการแจ้งเตือนในหลายโอกาสดังที่กล่าวมา แต่ท่านเป็นนายกฯ ที่ต้องยับยั้งความเสียหายได้ แต่ผู้ถูกกล่าวหา กลับยืนยันดำเนินโครงการต่อไป จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศอย่างใหญ่หลวง เพิ่มขึ้นๆ ทุกขณะ ป.ป.ช. จึงเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหา มีมูลความผิด ฐานจงใจละเว้นไม่ใช้อำนาจหน้าที่ ในฐานะนายกฯ ผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน
" เมื่อความปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดทั้งต่อตำแหน่งหน้าที่ ต่อการเงินการคลังของประเทศ และชีวิตชาวนาที่ต้องตายไป ซึ่งเป็นหลักการที่เราต้องดำเนินจารึกไว้ในแผ่นดินนี้ เรื่องของคุณธรรม จริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการบริหารราชการแผ่นดิน มีคำกล่าวว่า“บุคคลที่ขาดสติปัญญา หรือไม่มีสติปัญญา แต่หากเขามีคุณธรรมและจริยธรรม ที่พอจะชดเชยและเยียวยา ทำให้เห็นว่าเป็นคนดี พอที่จะอยู่และทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินนี้ได้ แต่สำหรับบุคคลที่มีสติปัญญา และความเฉลียวฉลาด มีความรอบรู้ แต่ขาดคุณธรรม จริยธรรม นั้นก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดความเสื่อมทรามในการปกครองบ้านเมือง อย่างไม่อาจเห็นได้ทั้งชาตินี้ และชาติหน้า จึงไม่อาจปล่อยไว้ได้”
นายวิชา กล่าวปิดท้ายว่า กระบวนการถอดถอนเป็นจุดเริ่มต้นที่ปักธงให้เห็นว่า ผู้ใดก็ตามที่จะมารับผิดชอบในฐานะผู้นำสูงสุดของแผ่นดิน โดยเฉพาะตำแหน่งนายกฯ ที่จะต้องมีคุณธรรม และจริยธรรมสูงสุดยิ่งกว่าบุคคลอื่นทั้งหมด เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้อื่นประพฤติปฏิบัติตาม เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกหลานของเราเพื่อให้ดำรงตนอยู่ในจริยธรรมและคุณธรรมต่อไป แต่อย่างไรก็ดี การจะให้ใครเป็นคนดีได้นั้นเป็นเรื่องที่น่าคิดว่า เราไม่อาจให้ทุกคนเป็นคนดีได้ ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ให้พระบรมราโชวาท ตรัสว่า
“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช้การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”กระผมขอคารวะทุกท่าน ที่อยู่เบื้องหน้าของกระผมว่า จะร่วมกันทำประวัติศาสตร์ในการถอดถอนครั้งนี้ให้ปรากฏผลเป็นจริง
**"ยิ่งลักษณ์"กางโพยโต้ข้อกล่าวหา
ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ แถลงปิดคดีว่า ตามรายงาน และสำนวนพร้อมความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งการแถลงเปิด และปิดคดี และการตอบข้อซักถาม มีข้อสังเกตอันเป็นข้อพิรุธที่ไม่สมควรให้สนช. นำรายงาน และสำนวนพร้อมความเห็นของคณะกรรมการป.ป.ช. มาเป็นเหตุผลในการถอดถอนในคดีนี้ได้ ดังนี้ เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 สิ้นสุดแล้ว ไม่อาจถอดถอนได้ เหลือเพียงพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. ซึ่งไม่มีรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจไว้ และขอยืนยันในคำโต้แย้งที่ได้แถลงคัดค้าน คำแถลงเปิดสำนวนของป.ป.ช. ในข้อกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ม. 270 และ ม. 178
"การถอดถอน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่จะนำไปสู่การตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองของดิฉัน เป็นเวลา 5 ปี ถือเป็นการจำกัดสิทธิ และเสรีภาพขั้นพื้นฐาน มีที่มาจากมาตรการ ตามรัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับ พ.ศ. 2540 และฉบับพ.ศ. 2550 จะอาศัยเพียง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญป.ป.ช. พ.ศ. 2542 เพียงอย่างเดียว โดยปราศจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายแม่ ไม่ได้ การดำเนินคดีเพื่อถอดถอนดิฉัน จึงไม่สามารถดำเนินการได้ และหากดำเนินการต่อไป ก็จะไม่เป็นธรรมต่อตัวดิฉัน และไม่เป็นไปตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม และไม่เหลือตำแหน่งอะไรที่จะให้ถอดถอนอีกแล้ว การดำเนินการที่ทำอยู่ ถือเป็นการถอดถอนที่ซ้ำซ้อน ไม่ถูกต้องในข้อกฎหมาย และไม่เป็นธรรม “
**อัด"วิชา"ชี้นำวาดมโนภาพให้เลวร้าย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังโต้ตอบ ป.ป.ช.ว่า คำกล่าวของนายวิชา ที่มีต่อตน ได้ชี้นำให้สภาฯและผู้ที่รับฟังทั่วไปไขว้เขว และเข้าใจว่าตนกระทำความผิด ทั้งๆ ที่เนื้อหาข้อเท็จจริงเหล่านั้น หลายประเด็น ไม่ได้อยู่ในสำนวนนี้ เช่น กรณีข้าวหาย ที่หาว่าเลื่อนลอย และชี้นำต่อสังคมว่า ข้าวในโครงการรับจำนำข้าวจำนวน 2 ล้านตัน ในปี 2555 ได้หายไปแล้ว เพราะต้องการทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด ว่าตนและรัฐบาลปล่อยปละละเลย ทำให้ข้าวหายไป และพยายามให้เกิดความเชื่อว่า ตนละเว้น ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้น จนต้องมีหนังสือ ยุติหรือยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทั้งหมดไม่เป็นธรรมต่อตนอย่างยิ่ง และไม่พึงกระทำในฐานะที่นายวิชาเป็นกรรมการป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบในสำนวนคดีนี้ และเป็นผู้ที่ใช้กฎหมาย เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้เกิดความเป็นธรรม กับผู้ถูกกล่าวหาทุกราย
"กรณีข้าวหาย ไม่ว่าจะเป็นกรณีข้าวหายจำนวน 2 ล้านตัน ที่ป.ป.ช.อ้าง หรือ 2.98 ล้านตัน ที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯไม่ยอมบันทึกบัญชีนั้น เมื่อครั้งป.ป.ช. ไต่สวนในเรื่องนี้ หน่วยงานผู้รับผิดชอบ คือ อตก. และ อคส. ได้ยืนยันถึงความมีอยู่จริงของข้าว ทั้ง 2 กรณี ที่ได้นำพยานหลักฐานมาโต้แย้ง เพื่อหักล้างว่า ข้าวจำนวนดังกล่าวไม่สูญหายไป แต่ป.ป.ช. กลับไม่รับฟัง หรือกรณี เรื่อง"จีทูจี" ในข้อบังคับในคดีถอดถอน ข้อที่ 153 กำหนดให้ การพิจารณาของสภาฯ ให้ยึดสำนวนที่ส่งมา แต่ป.ป.ช. กลับนำคดีระบายข้าว แบบจีทูจี ที่มีการกล่าวหาต่อคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องนอกสำนวน มาปนเปอยู่ในเนื้อหาคดีถอดถอน ทำให้บางท่านหลงเข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับคดีของดิฉันในประเด็นนี้ ซึ่งทางป.ป.ช. ก็ยืนยันประเด็นที่ชี้มูล นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เป็นคนละประเด็น และไม่เกี่ยวกับคดีถอดถอนนี้แต่อย่างใด อีกทั้งเอกสารคำวินิจฉัยของป.ป.ช. ก็ได้ยืนยันในสำนวนว่า ในชั้นนี้ยังไม่ปรากฏชัดเจนว่า ผู้ถูกกล่าวหามีส่วนร่วมให้เกิดการทุจริจ หรือสมยอมให้เกิดการทุจริต"
** โวยป.ป.ช.มั่วเอกสารยัดไส้สำนวน
ส่วนกรณีที่ นายวิชา อ้างถึงการที่ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯได้แถลงผลขาดทุนทางบัญชี ครั้งที่ 4 จำนวนประมาณ 5 แสนล้านบาทเศษนั้น ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า เป็นการขาดทุนตามตัวเลขดังกล่าว เนื่องจากยังมีข้อโต้แย้งทางบัญชี อีกทั้งยังมีข้าวในสต๊อก ที่สามารถระบายได้อีกมาก การตั้งอนุกรรมการปิดบัญชี นอกจากจะแยกดูแลเรื่องข้าวโดยเฉพาะเป็นครั้งแรก ยังเพื่อให้ ธ.ก.ส. สามารถบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควบคุมภาระหนี้สิน ได้แก่ เงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการบริหารโครงการ ไม่ใช่การปิดบัญชี กำไร -ขาดทุน ในเชิงธุรกิจ และไม่ใช่เรื่องค่าเสียหายแต่ประการใด หากสนช. จะให้ความเป็นธรรม ก็จะเห็นว่าไม่มีครั้งใด ที่รายงานจากคณะอนุกรรมการปิดบัญชี มีความเห็นให้ยุติโครงการรับจำนำข้าวเลย
ส่วนการแจ้งความของปลัดกระทรวงพาณิชย์ ต่อพนักงานสอบสวน ล้วนเป็นการดำเนินคดีตามสัญญาที่มีอยู่ ที่รัฐบาลตนได้กำหนดไว้ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อรัฐไว้แล้ว โดยกำหนดตัวผู้รับผิดชอบ คือ เจ้าของโกดัง เซอร์เวเยอร์ และเจ้าของโรงสี ซึ่งเป็นกรณีทำนองเดียวกันกับ 276 คดี ที่มีการดำเนินคดีไปแล้ว ในขณะที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่ จึงไม่สามารถนำมาชี้ถึงความเสียหายในคดีนี้ได้ เนื่องจากสัญญาเหล่านั้นได้ระบุผู้รับผิดชอบไว้อย่างชัดเจนแล้ว จึงไม่ใช่ความเสียหายต่อรัฐ แต่ประการใด
**จำนำข้าวสร้างรายได้ให้ชาวนา
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังยืนกรานว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียหาย แต่ในทางกลับกันก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ในเรื่องของรายได้ ของผู้มีรายได้น้อย คือ ชาวนา และนำไปสู่การใช้จ่ายที่ต่อเนื่อง เป็นเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ สำนักเศรษฐกิจมหภาค กระทรวงการคลัง คำนวณว่า โครงการรับจำนำข้าว ฤดูการผลิต 54/55 และ 55/56 สามารถทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มขึ้น เป็นจำนวน 3 แสนกว่าล้านบาท คิดเป็นกว่า 2.7 % ของ จีดีพี ของประเทศในแต่ละปี ขณะที่โครงการรับจำนำข้าว มีการใช้งบประมาณไม่เกิน 5% ของงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นเรื่องที่เหมาะสมไม่เกินเลย สามารถดูแลเกษตรกรจำนวนกว่า 23% ของประชากรทั้งประเทศ ให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น และยังสามารถส่งผลต่อการหมุนเวียนที่ดีของเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย ส่วนหนี้สาธารณะของประเทศ ยังอยู่ในระดับเพียง 45% ของ จีดีพี ซึ่งต่ำกว่าเพดานที่กำหนดไว้ที่ 60%
จึงสรุปได้ว่า วินัยการคลังของรัฐบาลช่วงที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี มีความเข้มแข็ง และมั่นคง และ นอกจากจะไม่มีการเพิ่มประเภทภาษีแล้ว กลับลดอัตราภาษีที่สำคัญลง ในหลายกรณี โดยรายได้ของรัฐบาล ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย อย่างต่อเนื่อง
"ขอยืนยันว่า รัฐบาลดิฉันมีความจริงใจต่อการปราบปรามทุจริต โดยมีการกำหนดมาตรการเงื่อนไข ที่เป็นกลไกในการดำเนินการอย่างชัดเจน โครงการรับจำนำข้าว ไม่ได้บิดเบือนกลไกตลาดข้าว ตามที่มีการกล่าวหา เพราะชาวนานำข้าวมาจำนำในโครงการประมาณครึ่งหนึ่งของผลผลิตรวมในประเทศ จึงยังมีข้าวอยู่ในตลาดอีกกว่าครึ่ง ซึ่งเอกชนสามารถค้าขายได้ตามปกติ ข้าวในส่วนที่เข้ามาอยู่ในมือของรัฐบาล ประมาณครึ่งหนึ่งของผลผลิตนั้น ก็นำออกกระบายตามระบบการประมูล และยุทธศาสตร์การระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์ โดยมุ่งที่จะให้มีการแข่งขันในเรื่องราคา และมีพ่อค้าเข้าร่วมแข่งขันเป็นจำนวนมาก จึงไม่ใช่การผูกขาด และเป็นการทำให้ตลาดข้าวโลกมีความเข้มแข็ง และเป็นธรรมมากขึ้น ไม่ใช่การทำลายกลไกตลาด และยังส่งผลให้ราคาข้าวไทยในตลาดสูงขึ้น รวมถึงกรณีข้าวหาย ข้าวปลอมปน ข้าวเสื่อม ไม่ใช่ความเสียหายต่อรัฐ และได้กำหนดมาตรการเพื่อป้องกันความเสียหายไว้ โดยกำหนดตัวผู้รับผิดชอบไว้อย่างชัดเจน ตามลักษณะของสัญญา ซึ่งสอดคล้องกับรายงานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีที่ว่า หากมีการสูญหาย หรือสินค้าเสื่อมคุณภาพ เพราะความบกพร่อง หน่วยงานดังกล่าวจะต้องชดใช้ให้แก่รัฐ จากหลักประกันที่วางไว้ ในอัตราร้อยละร้อย ของมูลค่าสินค้าในคลังสินค้า”
** อัดดำเนินคดีแบบมีวาระซ่อนเร้น
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่า ตนเองและครม. ไม่เคยละเลยปัญหาการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพราะเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งโครงการรับจำนำข้าว เก็ป็นสัญญาประชาคม และมีผลผูกพันตามรัฐธรรมนูญ ที่ให้รัฐบาลต้องปฏิบัติ
"หากจะให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลดิฉันแล้ว จะเห็นได้ว่า นับแต่มีการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว จนวาระที่รัฐบาลสิ้นสุดลง ดิฉันในฐานะ ที่เป็นนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ไม่เคยละเลย เพิกเฉย ในการตรวจสอบฝ่ายปฏิบัติ ให้ดำเนินโครงการ โดยไม่ให้เกิดการทุจริตและเสียหาย แต่ดิฉันก็มีข้อสงสัยว่า โครงการรับจำนำข้าวดำเนินการในรูปคณะบุคคล เป็นมติคณะรัฐมนตรี มติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ แต่เหตุใด ดิฉันจึงถูกดำเนินคดีโดยลำพัง ทั้งที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย มิได้บัญญัติความรับผิดชอบเช่นนั้น การดำเนินคดีดิฉันโดยลำพังนั้น จึงกล่าวได้ว่า เป็นวาระซ่อนเร้น อยู่ภายใต้การดำเนินคดี ที่ไม่เป็นธรรมต่อดิฉัน เป็นวาระทางการเมืองที่เห็นชัดว่า เมื่อมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ให้พ้นจากตำแหน่งในวันที่ 7 พ.ค.57 แล้วในวันรุ่งขึ้น วันที่ 8 พ.ค. 57 จะเป็นการบังเอิญหรือไม่ ที่ ป.ป.ช. ชี้มูลต่อทันที และวันนี้ ฝ่ายกรรมการป.ป.ช. ก็มาอ้างความบังเอิญอีกเช่นกัน ที่มาชี้มูลคดีระบายข้าว จีทูจี เพื่อชี้นำสังคมและกดดันสภา เพื่อให้เห็นว่าตน มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต”
** ปล่อยชาวนาหลังหักไม่ได้
ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรี และประธาน กขช. อย่างครบถ้วน ตามขั้นตอนของกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ และขอปฏิเสธ ทุกข้อกล่าวหา จากคณะกรรามการ ป.ป.ช. ตนไม่เคยคิดโกง ไม่ปล่อยปะละเลย หรือมีพฤติกรรมใดๆ ที่กระทำส่อไปในทางทุจริต อย่างที่ ป.ป.ช.กล่าวหา ซึ่งการมาขอความเป็นธรรมในที่นี้ ไม่เพียงเพื่อตัวเอง แต่อยากขอโอกาสให้คนจน ให้ชาวนาชาวไร่ ได้มีชีวิตทีดีขึ้นเหมือนคนอื่น ได้ลืมตาอ้าปาก ได้รับรายได้ที่เป็นธรรมคุ้มค่าเหนื่อยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เราจะให้ชาวนาของเรา หลังหักไม่ได้
"ขอย้ำว่า เราอย่ามองเหรียญ เพียงด้านใดด้านหนึ่ง โดยไม่มองให้ครบทุกมิติ ทั้งด้านรายได้ และโอกาสที่หายไปของชาวนา ตลอดจนประโยชน์ของเศรษฐกิจประเทศโดยรวม และการลดช่องว่างระหว่างคนรวย คนจน ความเหลื่อมล้ำ ในสังคมหากเทียบโครงการรับจำนำข้าว กับการแจกเงินโดยตรง ที่นอกจากจะไม่ส่งเสริมอาชีพปลูกข้าวแล้ว กลับเป็นการให้คนรอรับความช่วยเหลือ เพียงเพราะไม่ยอมที่จะขาดทุนกับคนจน การคิดเช่นนี้ เมื่อไหร่ พี่น้องชาวนาจะยืนบนขาตัวเองได้ ดิฉันเติบโตมาในต่างจังหวัด เมื่อขันอาสาเข้ามาทำงานก็ได้รับโอกาสจากประชาชน จึงตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ต้องการเห็นประเทศชาติ มีความขัดแย้งทางการเมือง จนต้องใช้วิธีการทำลายล้างที่ไร้หลักการ และขาดความเป็นธรรมอย่างที่ตัวเองประสบอยู่ โดยพร้อมเสมอ ที่จะพิสูจน์ตนเองในการทำงาน แต่ก็ต้องขอความเป็นธรรม เพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นว่า บ้านเมืองมีกฎหมาย และการบังคับใช้ที่เป็นธรรม อันเป็นพื้นฐานสำคัญ ของความเป็นนิติธรรม และเพื่อให้การปฏิรูปและความปรองดองที่แท้จริงเกิดขึ้น อันจะนำมาซึ่งความสุข สันติ มาสู่พี่น้องประชาชนคนไทย ทุกคน"
จากนั้น นายพรเพชร ได้ชี้แจงถึง กระบวนการลงมติถอดถอนว่า จะมีขึ้นในวันที่ 23 ม.ค. เวลา 10.00น. เริ่มจากการลงมติถอดถอน หรือ ไม่ถอดถอน นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีต ส.ว. ก่อน จากนั้น นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีต ส.ส. และน.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงขอความกรุณาสมาชิกมาให้พร้อมเพรียงกันตามเวลากำหนดด้วย
** สนช.ลงคะแนนลับถอดถอน
นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. แถลงถึงการลงมติถอดถอน นายนิคม นายสมศักดิ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในวันที่ 23 ม.ค. ว่าจะเริ่มต้นในเวลา 10.00 น. โดยการลงมติถอดถอนนายนิคม และนายสมศักดิ์ ด้วยการลงมติลับ โดยขานชื่อสมาชิกเรียงตามตัวอักษรให้เข้าคูหา ซึ่งบัตรลงมติ จะเป็นคนละสี และมีช่องให้กาว่าจะ ถอดถอนหรือไม่ถอดถอน และนับคะแนนโดยเปิดเผย คาดว่าจะใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง จากนั้นจะเป็นการลงมติลับว่าจะถอดถอน หรือไม่ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยจะดำเนินการขั้นตอนเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมไม่ให้มีการลงมติแบบเปิดเผย เพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่า สมาชิกคนไหน ลงมติแบบใดนั้น จากการตรวจสอบรัฐธรรมนูญทั้งปี 40 และ 50 รวมทั้งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุให้เป็นการลงมติลับ ดังนั้น ตามกฎหมายเราไม่สามารถยกเว้นข้อบังคับการประชุมได้ เพราะการถอดถอนจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
**"ปู"ปิดคดียิ่งตอกย้ำความผิดตัวเอง
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแถลงปิดคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มโนอยู่คนเดียวหลายประเด็นจินตนาการณ์เอง เช่น การปิดบัญชี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่เชื่ออนุกรรมการปิดบัญชีที่ตนเองตั้ง แต่ไปเชื่อข้อมูล อคส. และอตก. ที่เป็นฝ่ายถูกอนุกรรมการตรวจสอบ อ้างว่าการที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ไปแจ้งความดำเนินคดีคู่สัญญาข้าวที่เสื่อมสภาพ กลับอ้างว่าเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาที่รัฐบาลตนเองทำไว้ ยิ่งเป็นการสะท้อนถึงการปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหาย รวมถึงพยายามบอกว่า คดีจีทูจี เป็นคนละสำนวนของตนเอง ยิ่งเป็นการตอกย้ำการปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหายจากการทุจริต ส่วนอ้างว่าโครงการนี้ต้องการช่วยชาวนา และเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีชาวนาโดยตรง แต่มีการโกงชาวนาด้วยการตัดเป็นปริมาณข้าวเปลือกออกไป หรือถ้าเงินเข้าบัญชีชาวนา ก็มีการไปข่มขู่เพื่อเอาเงิน จึงไม่แปลกที่มีชาวนาฆ่าตัวตายถึง 16 ราย
ส่วนที่อ้างว่า ป.ป.ช. นำตนซึ่งเป็นคู่ปฏิปักษ์ทางการเมืองมาเป็นพยานในคดีถอดถอนว่า ตนทำหน้าที่ฝ่ายค้านขณะนั้น ก็ตรวจสอบการบริหารงานของฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายที่ประกาศและนำมาใช้ปฏิบัติ เมื่อเกิดความเสียหาย หรือมีเรื่องไม่ชอบมาพากลก็ต้องทักท้วง การที่ป.ป.ช.นำตนมาเป็นพยานก็ถูกต้องตามหลักสากล เพราะเป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบตามบทบาท
"ถามว่า ถ้าไม่ใช่ผมเป็นพยานแล้วจะไป เสี่ยเปี๋ยง (นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร) ที่เพิ่งถูกป.ป.ช. ชี้มูลมา เป็นพยานให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เช่นนั้นหรือ ถือเป็นการเบี่ยงประเด็น เพราะไม่สามารถชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงประกอบกับพยานหลักฐานที่ปรากฏต่อสังคมได้ เรื่องนี้ขอให้สังคมเป็นผู้ตัดสินจะดีที่สุด และหวังว่า สนช. คงไม่ปรองดองกับผู้กระทำผิด ที่สำคัญคือผิดแล้วยังไม่สำนึก" นพ.วรงค์ กล่าว
** กมธ.ยกร่างฯฟันธง"ปู"ไม่รอด
นายไพบูลย์ นิติตะวัน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ แสดงความเห็นภายหลังการแถลงปิดสำนวนการถอดถอนว่า หลังจากสนช. ได้ฟังข้อเท็จจริงทั้งหมด เชื่อว่า จะสามารถถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้สำเร็จ เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องก่อให้เกิดความเสียหายอย่างชัดเจน ทั้งความผิดตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่สามารถชี้แจงให้เกิดความกระจ่างได้ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อีกทั้งเชื่อว่าสนช. ทุกคนที่จะมาลงมติ ก็ไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงสามารถแสดงออกได้เต็มที่ ซึ่งแตกต่างจากบทบาทใน สภาผู้แทนราษฎร และยังเป็นลงมติแบบลับ ก็เชื่อว่าทุกคน กล้าจะทำให้สิ่งที่ถูกต้อง โดยอาศัยหลักนิติธรรม
**คาดเสียง"ถอดถอน"ทะลุ 150 เสียง
รายงานข่าวจากสนช. แจ้งว่า หลังจากสมาชิก สนช.ได้ฟังการแถลงปิดคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายนิคม และ นายสมศักดิ์ พบว่าในกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงในประเด็นที่ไม่สามารถยับยั้งความเสียหายของงบประมาณของประเทศ กว่า 7 แสนล้านบาท ที่เกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าวได้ อีกทั้งยังเป็นข้อมูลที่ชาวบ้านทุกคนได้รับทราบ ประกอบกับยังผิดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. และ พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน 2534 จึงทำให้สนช. มากกว่า 150 คน ที่ประกอบไปด้วยกลุ่ม 40 ส.ว. นักวิชาการ ภาคธุรกิจ กลุ่มข้าราชการพลเรือน และ สายทหารบางส่วน จะลงมติในวันนี้ ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ให้สำเร็จอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะรักษามาตรฐานการการทำหน้าที่ของสนช. ที่ยึดความถูกต้อง ตามหลักจริยธรรม และคุณธรรมแล้ว ยังส่งผลให้ คสช. รัฐบาล สามารถบริหารประเทศต่อไปได้ ขณะที่สปช. ซึ่งจะปฏิรูปประเทศ และกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่กำลังยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็จะทำงาบราบรื่น และเกิดความยอมรับต่อสังคมว่า มีการเอาจริงเอาจังในการปราบปรามเรื่องทุจริต คอร์รัปชัน
"ในช่วงเช้าในวันที่ 23 ม.ค. ก่อนการลงมติถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะมีโพยสัญญาณจากคสช. ส่งต่อมาที่สนช. โดยเฉพาะในสายทหารและตำรวจเพื่อให้พร้อมใจกันถอดถอน อดีตนายกฯ เพราะหากกระบวนการดังกล่าวไม่สำเร็จ ผู้ที่จะไปก่อน ไม่ใช่เพียงแต่ สนช. แต่จะหมายถึงเรือแป๊ะทั้งลำ จะตกไปตามกันแทน” แหล่งข่าวระดับสูงใน สนช. ระบุ