xs
xsm
sm
md
lg

นิคม-ขุนค้อนโต้เครียดไม่ผิด ทีมทนายเซฟ"ปู"กลัวถูกต้อน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"นิคม-สมศักดิ์" พร้อมใจไปสภา ตอบข้อซักถามคดีถอดถอนด้วยตัวเอง "นิคม"อ้างแก้รธน.เพื่อประชาชนไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่เคยรับเงินจากคนแดนไกล เหน็บสนช.ก็เป็นสภาผัว-เมีย "ขุนค้อน"ยันทุกอย่างทำถูกต้อง ไม่มีญัตติปลอม ไม่เคยตัดสิทธิสมาชิก เป็นประธานที่ดีที่สุด แถเรื่องร่วมลงชื่อแก้รธน. เพราะพลั้งเผลอ ยืนกรานไม่ผิด-ไม่เจตนา-ไม่ต้องถูกถอดถอน "ยิ่งลักษณ์"คุยอยากไปชี้แจงเอง แต่ทีมทนายไม่เชื่อมือ กลัวถูกต้อนคาสภา ประธานสนช.นัดลงมติ ทั้งสามคน วันที่ 23 ม.ค.นี้

เมื่อเวลา 10.30 น. วานนี้ (15ม.ค.) มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.เป็นประธานการประชุม ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในวันพุธที่ 21 ม.ค. จะมีการประชุมสนช. เพิ่มอีก 1 วัน เพื่อพิจารณาคดีถอดถอน อดีต 38 ส.ว. กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาส.ว.โดยมิชอบ และการแถลงปิดคดีถอดถอน นายนายนิคมไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ส่วนวันที่ 22 ม.ค.จะแถลงปิดคดีถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากนั้นในวันที่ 23 ม.ค. จะลงมติถอดถอนทั้งสองคดี โดยเป็นการประชุมลับ เพื่อลงมติใช้วิธีขานชื่อ และให้สมาชิกเข้าคูหา กาบัตรลงคะแนน พร้อมทั้งกำชับสมาชิก หากไม่ติดภารกิจจำเป็นจริงๆ ขอให้มาร่วมประชุมเพื่อลงมติ และขอให้สมาชิกสนช. อย่าแสดงความเห็นใดๆในช่วงนี้ เพราะถือว่าคดีดังกล่าวอยู่ในความสนใจของประชาชน และมีความสำคัญ อาจกระทบต่อกระบวนการถอดถอน ซึ่งการกระบวนการทุกเรื่องของสนช. ต้องเป็นไปตามกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ รวมถึงข้อบังคับการประชุมสนช. ที่สมาชิกต้องปฏิบัติตาม ส่วนสมาชิกจะมีความเห็น หรือมีดุลยพินิจเรื่องการถอดถอนอย่างไร ขอให้เก็บไว้ในใจ

จากนั้นเ วลา 11.0 น. จึงเริ่มกระบวนการซักถามเพื่อประกอบการพิจารณาถอดถอนนายนิคม และนายสมศักดิ์ โดยมีคำถามทั้งหมด 8 ข้อ ซึ่งคณะกรรมาธิการซักถามฯ แต่ละคน เริ่มซักถามคำถามต่างๆ แทนสมาชิกสนช.ทั้ง 8 ข้อ ดังนี้

1. เหตุใดป.ป.ช. จึงยืนยันส่งคดีถอดถอนนายนิคม ให้สนช. ทั้งที่ไม่ใช่วุฒิสภา 2. ขอให้ ป.ป.ช.ระบุฐานความผิดที่ส่งให้สนช. ดำเนินการให้ชัดเจนว่า นายนิคม มีความผิดตามกฎหมายใดบ้าง 3. การที่ป.ป.ช.ระบุว่า การตัดสิทธิการอภิปราย มีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือวาระซ่อนเร้น ขอให้ขยายความว่า มีผลประโยชน์ซ่อนเร้นอย่างไร 4. พฤติการณ์ของนายนิคม มีความผิดทางอาญา หรือไม่ และการดำเนินการถอดถอนจะกระทบต่อการปฏิรูป และการสร้างความปรองดองหรือไม่ 5. การกระทำของนายนิคม ที่บอกว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และผิดกฎหมาย สร้างความเสียหายให้ใคร อย่างไร

6. นายนิคม อ้างว่า ทำถูกต้องตามข้อบังคับการประชุมข้อ 59 ที่ระบุว่า เมื่อมีผู้เสนอญัตติปิดอภิปราย ก็ต้องให้ลงมติปิดอภิปราย เป็นการตีความข้อบังคับโดยถูกต้อง ใช่หรือไม่ 7. การที่นายนิคม ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเอกสิทธิ์เด็ดขาดของสมาชิกรัฐสภา ผู้ใดจะนำไปฟ้องร้องไม่ได้ แต่เหตุใด ป.ป.ช. ยังคงชี้มูลความผิดนายนิคม และส่งเรื่องให้ สนช.ถอดถอน 8. ป.ป.ช.เห็นอย่างไรกับกรณีที่นายนิคม อ้างว่า เมื่อมีการลงมติปิดอภิปราย ประธานจะทำอย่างอื่นไม่ได้ เหตุใดป.ป.ช.ไม่ยอมรับคำโต้แย้งดังกล่าว

**ชี้ผลประโยชน์ทับซ้อนเร่งลงมติ

จากนั้นนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. ตอบข้อซักถามต่างๆ ว่า คำวินิจฉัยของป.ป.ช. นอกจากระบุถึงฐานความผิดตามรัฐธรรมนูญปี 50 แล้ว ยังระบุถึงความผิดฐานมีพฤติการณ์ส่อว่า กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย และการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 58 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ด้วย และหลังจากป.ป.ช. ลงมติไปแล้ว ปรากฏว่า เกิดการยึดอำนาจ แม้จะให้รัฐธรรมนูญปี 50 ยุติไปแล้ว แต่มีประกาศจาก คสช. ให้กฎหมายป.ป.ช. ยังคงใช้ได้ต่อเนื่อง รวมทั้งให้บทบัญญัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาล และกระบวนการยุติธรรม ยังใช้ได้อยู่ต่อไป ดังนั้น แม้รัฐธรรมนูญปี 50 จะถูกยกเลิก แต่ป.ป.ช. ยังมีอำนาจส่งเรื่องให้ สนช. ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ไต่สวนและเห็นว่า นายนิคม มีการกระทำส่อว่า จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย จากกรณีการตัดสิทธิผู้อภิปราย ซึ่งเป็นการลิดรอนสิทธิของอดีตสมาชิกรัฐสภา ที่ประสงค์จะอภิปราย ซึ่งเป็นความผิดตาม มาตรา 291 ตามรัฐธรรมนูญ ประกอบกฎหมายป.ป.ช. มาตรา 56, 58, 61 และ 62

นอกจากนี้ พฤติการณ์ของนายนิคม ยังส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งราชการ และขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย

ส่วนเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ถูกกล่าวหานั้น ป.ป.ช.เห็นว่า กรณีนี้เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มาของส.ว.ว่า ส.ว.ต้องมาจากการเลือกตั้งอย่างเดียว จะไม่มี ส.ว.สรรหาต่อไป จึงถือว่านายนิคม มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะเป็นส.ว.อยู่ด้วย โดยเฉพาะการแก้ไขให้ ส.ว.ปัจจุบัน ลงสมัคร ส.ว.รอบใหม่ได้โดยไม่ต้องเว้นวรรค ถือว่าได้รับผลประโยชน์เต็มที่ในการแก้ไข ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการตัดสิทธิผู้อภิปราย ทำไมต้องรีบร้อน ซึ่งป.ป.ช.มองว่า เป็นการส่อหรือไม่ เพราะการส่อ หมายความว่า แสดงให้คนอื่นไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ หรือไปเข้าข้างฝ่ายใด การทุจริตไม่ได้ หมายถึง กินสินบน แต่หมายถึง การรักษาความเป็นกลางด้วย ดังนั้นการดำเนินการในฐานะประธาน ต้องหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้ตนได้รับผลประโยชน์ทับซ้อน หรือ มีฉายาแห่งการทุจริต

**เป็นปฏิปักษ์ปท.ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้ม

นายวิชา กล่าวว่า ส่วนที่ถามว่าการกระทำของนายนิคม เป็นการทำผิดกฎหมายอาญาหรือไม่นั้น ป.ป.ช.เห็นว่า ไม่ใช่ความผิดทางอาญา เพราะคดีอาญา จะมีการแยกพิจารณาออกไปจากกัน ส่วนจะกระทบต่อการปรองดอง หรือไม่นั้น หลักการปรองดอง ต้องไม่ลืมหลักนิติรัฐ นิติธรรม คือกระบวนการทุกอย่างต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย เมื่อต้นทางเดินมาโดยวิธีแห่งกฎหมายแล้ว จะให้ป.ป.ช. ยุติเรื่องเหล่านี้ เพราะขัดต่อการปรองดอง คงไม่ได้ ถือว่าไม่ใช่หลักปรองดอง แต่เป็นหลักความอำเภอใจ ดังนั้นป.ป.ช.ต้องดำเนินการไต่สวนต่อไป

ส่วนจะถอดถอนได้หรือไม่ ขึ้นอยู่ดุลยพินิจของ สนช. กระบวนการชี้มูลความผิด เพื่อถอดถอนบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศออกจากตำแหน่ง จะก่อให้เกิดแนวทางให้เกิดความปรองดอง ยิ่งเสียกว่าการวางเฉย ไม่ดำเนินการใดๆ เรื่องการถอดถอนที่ผ่านมาถือว่า ยาก เพราะทำเรื่องถอดถอนมาหลายเรื่อง ไม่เคยถอดถอนใครได้ แสดงว่ากระบวนการที่ผ่านมา ไร้ซึ่งการบังคับใช้อย่างจริงจัง จึงมีความหวังอย่างยิ่งกับสภาฯ แห่งนี้ จะแยกระหว่างความปรองดอง กับหลักนิติรัฐ นิติธรรม ออกจากกัน

นายวิชา กล่าวว่า ผลจากการกระทำของนายนิคม มีผลกระทบสำคัญต่อการใช้อำนาจ ซึ่งกระบวนแก้รัฐธรรมนูญดังกล่าว เป็นการเปลี่ยนแปลงหลักการของรัฐธรรมนูญ ที่กระทบต่อที่มา ส.ว. จากเดิมมี 2 ทาง จากการเลือกตั้ง และสรรหา เปลี่ยนเป็นการเลือกตั้งอย่างเดียว ส่งผลกลับไปเป็นเหมือนปี 2540 ที่เป็นสภาผัวเมีย แต่หากจะพูดเรื่องความเสียหายเป็นตัวเงิน คงไม่สามารถชี้ชัดได้ แต่เรื่องความเสียหายทางสังคม การปกครอง เป็นเรื่องสำคัญสูงสุด การเปลี่ยนแปลงต้องใช้ความรอบคอบ ไม่ใช่ขู่เข็ญ หรือการห้ามพูดของฝ่ายคัดค้าน ซึ่งถือว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ทั้งทางสังคม และการปกครอง จนมีการต่อต้านจากสังคม ทำให้ประชาชนออกมาต่อต้านจำนวนมาก จนเกิดการรัฐประหาร

นายวิชา กล่าวด้วยว่า แม้นายนิคม จะยืนยันว่าการปิดอภิปรายทำถูกต้องตามข้อบังคับการประชุม แต่ประธาน ต้องใช้ดุลยพินิจ เพราะยังมีผู้ขออภิปรายเหลืออยู่ จึงไม่ควรตัดสิทธิผู้อภิปราย ทำให้ญัตติการปิดอภิปราย ใหญ่กว่าญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการรับญัตติสั่งปิดอภิปราย ยังมีข้อยกเว้นว่าไม่ให้ใช้บังคับกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ส่วนที่นายนิคมอ้างเรื่องการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภา จะนำไปฟ้องร้องไม่ได้นั้น เอกสิทธิ ดังกล่าวไม่ใช่เอกสิทธิเด็ดขาด ซึ่งเอกสิทธิที่อ้าง ต้องตั้งอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ จะมาทำลายหลักการเหล่านี้ไม่ได้ การอ้างเอกสิทธิไม่ให้ถูกฟ้องร้อง มีข้อยกเว้นให้ใช้เฉพาะกับการแสดงความเห็น และการลงมติเท่านั้น แต่เรื่องอื่นๆ ย่อมไม่ได้รับการคุ้มครอง

**"นิคม"อ้างแก้รธน.เพื่อประชาชน

จากนั้นเป็นขั้นตอนซักถามนายนิคม โดยมีคำถามทั้งหมด 7 ข้อ โดยถามว่า การตัดสิทธิ์สมาชิกทั้ง 57 คน ที่สงวนคำแปรญัตติไม่ให้อภิปราย ถือเป็นการรวบรัด เพื่อลงมติให้ผ่านเป็นการเร่งพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ และประกอบรัฐธรรมนูญเพื่อเสร็จทันก่อนที่ ส.ว.เลือกตั้ง จะครบวาระในการดำรงตำแหน่ง 6 ปี ในวันที่ 2 มี.ค. 57 เพื่อตัวเองจะได้มีสิทธิ์ลงเลือกตั้งส.ว.ต่อไป รวมทั้งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ผิด จะมีผลอย่างไร และการกระทำดังกล่าว ขัดต่อข้อบังคับการประชุมและกฎหมาย และอยู่ในอำนาจที่จะวินิจฉัยในที่ประชุมหรือไม่ ซึ่งในฐานะที่เป็นรองประธานรัฐสภา จะต้องปรึกษาหารือกับประธานรัฐสภาในการปิดอภิปราย เพื่อลงมติหรือไม่

นายนิคม ได้ตั้งข้อสงสัยการขยายเวลาในการตั้งคำถามของ สนช.ใช้ข้อบังคับการประชุมข้อไหน ซึ่งต้องเสนอก่อนการประชุมแถลงเปิดคดี โดยวันนี้จะตอบคำถามให้กระจ่าง และขออนุญาตจะสอนวิชากฎหมายกับอาจารย์สอนกฎหมายด้วย ข้อกล่าวหาของป.ป.ช. ที่กล่าวหาว่า ตนจงใจใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เร่งรัดกฎหมายให้ทันวันที่ 2 มี.ค.นั้น คนที่ได้ประโยชน์ คือประชาชน การคืนอำนาจให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนเลือกตัวแทนขึ้นมา การแก้ให้ทันวันที่ 2 มี.ค. คงไม่ใช่ เพราะยังมีขั้นตอนเยอะ นายกฯ ต้องเสนอขึ้นทูลเกล้าฯ ไม่รู้ว่าต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดอีกหรือไม่ และจะมีการโปรดเกล้าฯ ลงมาเมื่อไร ก็ไม่รู้ นอกจากนี้ ยังให้กกต.ไปร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญภายใน 30 วัน หลังจากประกาศในราชกิจจาฯ ซึ่งดูแล้วจะทันเวลาหรือไม่ จะใช้เวลานานแค่ไหนก็ไม่ทราบ เพราะฉะนั้น ท่านอย่าได้มะโน อย่างสร้างจินตนาการ ว่าคนที่แก้แล้วจะได้รับสิทธิ์

**เหน็บกลับ สนช.ก็มีสภาผัว-เมีย

นายนิคม กล่าวว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ผิดรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ผ่านสภา ต่อไปจะมีแต่ส.ว.เลือกตั้ง ไม่มีสรรหาอีก เรื่องที่ห่วงสภาผัวเมีย ตนเห็นสภานี้ก็มีเต็มไปหมด ทำไมไม่พูด เวลานี้ในที่ประชุมแห่งนี้ก็มี สามี ภรรยา สำหรับข้อกล่าวหาการเสนอปิดประชุมโดยรวบรัดนั้น ญัตติมี 2 ประเภทคือ ญัตติหลัก และญัตติประกอบ ญัตติหลัก เช่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการศึกษาเรื่องใดๆ แต่ญัตติประกอบ คือ เป็นญัตติเพื่อใช้ให้ญัตติหลักประสบความสำเร็จ เช่น กรณีญัตติการปิดประชุม เมื่อมีการเสนอมา ก็ต้องถามว่าจะมีใครเห็นเป็นอย่างอื่น ก็ต้องเป็นไปตามข้อบังคับที่ 47 วรรค 2 ยุติการอภิปราย การไม่ส่งชื่อให้ตนทำให้การประชุมเป็นไปด้วยความยุ่งยาก ขัดข้อบังคับ 38 ตนพยายามที่จะเดินตามข้อบังคับการประชุม ข้อ 5 ข้อ 6 ภายใต้รัฐธรรมนูญ มาตรา 137

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการตอบคำถาม นายนิคม แสดงอาการหงุดหงิดอย่างชัดเจน และชี้แจงด้วยท่าทางขึงขัง โดยช่วงหนึ่งได้กล่าวเหน็บแนมว่า "บางคนเคยเป็นส.ว.แค่ไม่กี่วัน ไม่กี่ปี ผมขออนุญาตสอนท่าน วันนี้พลทหารขอถามพลเอก ขออย่าเอาความรู้สึกอคติ เกลียดชัง มาเป็นเหตุให้ถามผมแบบนี้" นายนิคม กล่าว

ทำให้ นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สนช. ลุกขึ้นตำหนิว่า วันนี้ผู้ถูกกล่าวหาต้องมาชี้แจง ตอบคำถาม ไม่ใช่มาอวดความรู้ เพื่อที่จะสั่งสอนสภานี้ เพราะทุกคนมีวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญ่ และจะไม่นำตัวอย่างที่ไม่ดีมาปฏิบัติแน่นอน ขณะที่ นายพรเพชร ได้ขอให้นายนิคม ชี้แจงในประเด็น อย่ามากไปกว่านั้น

นายนิคม ชี้แจงต่อว่า การทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทำตามข้อบังคับการประชุมข้อ 5 ข้อ 6 และ รัฐธรรมนูญมาตรา 122 มาตรา 125 มาตรา 126 ต้องปฏิบัติหน้าที่แทนประธานรัฐสภา เมื่อประธานสภาไม่อยู่ หรือได้รับมอบหมาย ดังนั้นการทำหน้าที่จึงอาศัยข้อบังคับการประชุม ไม่จำเป็นต้องปรึกษาใคร สำหรับคำถามที่ยังยืนยันที่จะทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทั้งที่มีสมาชิกทักท้วงว่า เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์นั้น นายนิคม ตอบว่า ตนลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ คือ มาตรา 190 และ มาตรา 68 ประกอบมาตรา 237 ส่วนการแก้ไขที่มา ส.ว.ไม่ได้ร่วมลงชื่อ ซึ่งการทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ยึดหลักข้อบังคับการประชุม เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย แต่กลับบอกให้หยุดทำหน้าที่ ก็เหมือนกรณีที่ตนได้ทำหนังสือคัดค้านให้สนช. ที่เป็นอดีต ส.ว.จำนวน 16 คน ให้หยุดทำหน้าที่เพราะกล่าวหาตน และต้องลงมติถอดถอนด้วย ท่านก็อ้างว่าอาจถูกกล่าวหา ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 ดังนั้นท่านก็อย่าไปคาดการณ์ว่า ผู้ที่ทำหน้าที่จะไม่วางตัวเป็นกลาง ทั้งนี้ ถ้าให้ตนหยุดปฏิบัติหน้าที่ จะเหลือประธานรัฐสภาทำหน้าที่เพียงคนเดียว

**ยันไม่เคยรับเงินจากคนแดนไกล

นายนิคม ยังได้ปฏิเสธคำถามที่ถามว่า มีการใช้อำนาจวุฒิสภาเพื่องดการประชุมวุฒิสภา มาแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ผ่านก่อนวันที่ 2 มี.ค.57 ว่า การกำหนดการประชุมรัฐสภา ไม่ใช่อำนาจหน้าที่รองประธานรัฐสภา แต่เป็นอำนาจหน้าที่ของประธานรัฐสภา ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธาน ก็ยึดตามข้อบังคับการประชุม ไม่ใช่ว่าเข้าใจโดยสุจริต แต่เป็นหลักปฏิบัติมานาน ยืนยันไม่ได้ใช้อำนาจตามอำเภอใจ เมื่อตนและนายสมศักดิ์ เป็นประธานก็แก้เกมการเมืองตลอด ท่านแปรญัตติ แต่ท่านก็ไม่ทำตามข้อบังคับ พูดจาวกวน เวลาลงมติผู้ที่ร้องคัดค้าน เสียงข้างน้อยไม่ลงมติสักคน

"ผมไม่ได้ทำหน้าที่ด้วยอารมณ์ หรือให้ทันวันที่ 2 มี.ค. ผมไม่เห็นด้วยกับกระบวนการสรรหาส.ว.ครั้งที่สอง เพราะเพื่อนที่เป็นมุสลิม ลงสมัครสรรหา 30 กว่าคน มี 8 คน เป็นดอกเตอร์ เป็นศาสตราจารย์ แต่ไม่ได้รับการเหลียวแลสักคน เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง วันนี้ถึงบอกว่า ไม่ได้ทำตามตามอำเภอใจ แต่มาบอกความจริง วันนี้มาบอกว่า ผมมีประโยชน์ทับซ้อน ความจริงคนที่ลงมติ ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ โดยในนั้นมี สนช. ที่เป็นอดีตส.ว.อย่างนี้จึงมีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะท่านกำลังรักษาสถานภาพของความเป็น ส.ว.สรรหา เอาไว้ เพราะรู้ว่าหากปล่อยให้รัฐธรรมนูญไป ท่านจะหมดสถานะ ผมขอเรียกร้องให้ลงไปเลือกตั้ง ขอร้องไปสมัครเถอะ ท่านเป็นนักประชาธิปไตย อย่าเกลียดประชาชนเลย วันนี้ขอระบายความในใจ แม้กระทั่งเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม ส.ว.ก็มีมติยับยั้ง แต่กลับกล่าวว่า ไปรับเงินจากคนแดนไกล จากรัฐบาล ผมกับท่านก็มีเจตนาเดียวกัน ไม่อยากให้บ้านเมืองวุ่นวาย สงบ" นายนิคม กล่าว


**จ่อฟันอาญา“ขุนค้อน”ฐานปลอมร่างรธน.

ต่อมาเป็นกระบวนการซักถาม นายสมศักดิ์ โดยกรรมาธิการซักถามได้ซักถามนายวิชา ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของข้อกฎหมาย และการใช้ดุลยพินิจของป.ป.ช. อาทิ ขณะนี้รัฐธรรมนูญ 50 สิ้นผลแล้ว นายสมศักดิ์ยังคงจะมีความผิดในฐานใด อีกทั้งเมื่อนายสมศักดิ์ พ้นจากตำแหน่งแล้ว จะถอดถอนอีกได้หรือไม่ และ เป็นความผิดทางอาญาหรือไม่ และเหตุใดป.ป.ช.ให้ความสำคัญเอาผิดกับเรื่องการเสียบบัตรแสดงตนแทนกัน ทั้งที่ไม่มีผลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งที่ผ่านมา ป.ป.ช. ไม่ได้ชี้มูลกรณีสมาชิกรัฐสภา 310 คน ลงชื่อเสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทั้งที่ก็มีการฟ้องคดีตามรัฐธรรมนูญ ปี 50 แต่กลับมีการชี้มูลในคดีของนายสมศักดิ์ และนายนิคม จึงต้องการทราบว่า 2 คดี การพิจารณาของป.ป.ช. แตกต่างกันอย่างไร

นายวิชา ชี้แจงว่า เมื่อ คสช.ออกประกาศให้ พ.ร.บ.ป.ป.ช. มีผลบังคับใช้ต่อไป ทำให้ป.ป.ช. ต้องชี้มูลความผิดนายสมศักดิ์ และเมื่อรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 5 ให้อำนาจสนช. ทำหน้าที่ส.ส.และส.ว. สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงมีหน้าที่พิจารณาถอดถอน แม้ความผิดของ นายสมศักดิ์ คล้ายกับนายนิคม แต่มีประเด็นมากกว่า โดยนายสมศักดิ์ได้ลงนามเพื่ออนุญาตบรรจุร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ที่นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.เป็นผู้เสนอญัตติขอแก้ไข แต่ได้มีการสับเปลี่ยน ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไปเปลี่ยนกับร่างฉบับเดิม ซึ่งป.ป.ช.กำลังไต่สวนเพื่อชี้มูลในคดีอาญาต่อไป

** ย้ำ"รับญัตติ-สั่งปิดอภิปราย"ผิดหลัก

นอกจากนี้การใช้ดุลยพินิจ รับญัตติ สั่งปิดอภิปราย ทั้งที่ยังมีสมาชิกฯ ต้องการอภิปรายอยู่ การกำหนดวันแปรญัตติย้อนหลังไปถึงวันรับหลักการ ทั้งที่ควรนับจากวันลงมติรับหลักการ ทำให้เหลือวันแปรญัตติเพียง 1 วัน ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยไว้ชัดว่า นายสมศักดิ์ สามารถใช้ดุลพินิจตามหลักนิติธรรม ไม่แสดงให้เห็น อคติ ลำเอียง หรือผลประโยชน์ทับซ้อน การปิดอภิปรายต้องระมัดระวัง ไม่ทำลายเสียงข้างน้อย และประธานต้องแสดงให้เห็นมีความพยายามรับฟังเสียงข้างน้อยด้วย

แต่สิ่งที่นายสมศักดิ์กระทำกลับตรงข้าม จึงเป็นการผิดหลักนิติธรรม เป็นเหตุให้ป.ป.ช. ชี้มูลถอดถอนออกจากตำแหน่งตาม รัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 270 และมาตรา 274 ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 56 มาตรา 58 มาตรา 61 และมาตรา 62 โดยการถอดถอนแม้นายสมศักดิ์ พ้นจากตำแหน่งแล้ว ป.ป.ช.ก็ต้องดำเนินการ เพราะมีเรื่องโทษการตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี

“ส่วนที่สมาชิกฯ ตั้งข้อสังเกตว่า ป.ป.ช.ไม่ชี้มูลคดี 310 สมาชิกรัฐสภา เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นั้น ขอชี้แจงทำความเข้าใจว่า ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบสำนวนดังกล่าว เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และ พบว่าการเสนอร่างนิรโทษกรรมของ 310 สมาชิกรัฐสภา มีการกระทำผิดอาญา และเข้าข่ายการถอดถอน ยืนยันคดียังไม่สิ้นสุด หากพบว่าส่อกระทำผิด ก็จะส่งเรื่องมาให้ถอดถอนต่อไป”

**"ขุนค้อน"ยันทำถูกต้องไม่มีปลอม

ต่อมาเป็นการซักถาม นายสมศักดิ์ โดยนายมารุต ถามว่า หลังจากนายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส.นนทบุรี ยื่นให้แก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญ ต่อ นายสมศักดิ์ เมื่อวันที่ 20 มี.ค.56 เพื่อดำเนินการแก้ไขในประเด็น เลือกตั้งส.ว.โดยแก้มาตรา 111 ,112, 115, 117, 118 ยกเลิก มาตรา 113, 114 แต่เมื่อส่งร่างให้รัฐสภาพิจารณา กลับมีการเพิ่ม มาตรา 116 วรรค 2 และ มาตรา141 ถามว่า เมื่อมีการยื่นไปแล้วยังแก้ไข หรือเพิ่มเติมข้อความหรือเพิ่มมาตรใดๆได้อีกหรือไม่ หากทำได้มีกระบวนการและขั้นตอนอย่างไร ในฐานะที่ทำหน้าที่ประธาน ทราบหรือไม่ว่ ามีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อความในตัวร่างดังกล่าว ถ้าทราบได้ดำเนินการอย่างไร การกระทำดังกล่าวอยู่ในอำนาจประธานที่จะวินิจฉัยหรือไม่ ขณะเดียวกันผู้เสนอแก้ไข มีความผิดหรือไม่ อย่างไร

นายสมศักดิ์ ชี้แจงว่า เมื่อ นายอุดมเดช ได้ยื่นมาตามข้อบังคับการประชุม และรัฐธรรมนูญแล้ว ทางสำนักประชุมก็ตรวจสอบและเห็นว่าถูกต้องเสนอตามขั้นตอน จากนั้นส่งมาถึงตน เมื่อตรวจดูแล้วเห็นว่า ผ่านการอนุมัติ เพียงแต่มีข้อความเพิ่มเติมว่า ให้มีการแก้ไขเรื่องนี้ ในฐานะประธานก็ต้องรับผิดชอบ และถือเป็นสำคัญ แต่เพื่อความรอบคอบ ก็ได้เชิญผอ.สำนักประชุมมาชี้แจง ก็ได้รับการยืนยันว่าทุกอย่างถูกต้องตามข้อบังคับและรัฐธรรมนูญ และถือแนวปฏิบัติอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร เมื่อมีการเสนอมาตนต้องบรรจุในวาระ ภายใน 15 วัน ถ้าไม่บรรจุ ก็จะขัดรัฐธรรมนูญ และเป็นการแก้ไขขั้นตอนธุรการ เพราะยังไม่ได้บรรจุระเบียบวาระ ถ้าบรรจุแล้วถอนออกไปแก้ไขเพิ่มเติมอีกไม่ได้ ต้องนำเข้าสภาให้อนุมัติ ตนพึงต้องกระทำเพราะทุกอย่างข้าราชการยืนยันถูกต้องแล้ว จะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่อนุมัติให้บรรจุระเบียบวาระ ที่สำคัญหลังจากบรรจุวาระแล้ว มีร่างเดียวเท่านั้น คือ ร่างของนายอุดมเดช ที่ผ่านการตรวจสอบของสภาเท่านั้น ถือเป็น ของแท้ โดยในวาระ 1 เจ้าของร่าง ก็ต้องเป็นผู้นำเสนอร่างที่มีการแก้ไขที่ตนอนุมัติบรรจุวาระ ที่ประชุมไม่มีใครทักท้วงว่าเป็นเอกสารปลอม พิจารณาต่อมา วาระ 2 วาระ 3 ก็ไม่มีใครท้วง เพราะมันไม่ผิด ฉะนั้นสิ่งที่น่าจะเป็นสาระที่ควรพูดกันคือ ร่างที่แก้ไขบังเอิญแก้แล้วไม่ได้ขอลายเซ็น ส.ส.- ส.ว. ใหม่อีก มากกว่า เรื่องปลอมไม่ปลอมไม่ใช่สาระ เพราะไม่มี มีแต่ของแท้

"เราพิจารณาหลายวัน ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่หลับไม่นอน ทำไมไม่ทักท้วง ปล่อยมาถึงขนาดนี้ได้อย่างไร ก็เพราะมันไม่ผิด ถามว่าที่เคยปฏิบัติกันมา ร่างแก้ไขรธน. เสนอโดยประชาชนของ หมอเหวง (โตจิราการ) ก็มีการแก้ไขในขั้นตอนธุรการเช่นกัน ก็ไม่เห็นต้องให้ประชาชนเซ็นชื่อใหม่ และอีกหลายฉบับแก้ไขในขั้นธุรการ ไม่เห็นผิด หลายฉบับเสนอแล้วให้ ส.ส.แก้ใหม่ ของประชาธิปัตย์ก็มี เพื่อไทยก็เยอะ สมมุติว่าผิด ผิดข้อไหน ไม่มีอะไรบัญญัติ แต่ถ้าผิดไม่ถูกใจก็เขียนให้มันถูกใจในข้อบังคับใหม่ให้ชัดๆ แต่นี่ไม่มีแล้วจะให้ทำอย่างไร สรุปแล้วทำแบบผมทำไม่ผิด แต่ถ้าทำแบบนี้ผิดแน่นอน ถ้าจะปลอมก็ฉบับที่ร่างเดิมที่ท่านอุดมเดชถือกลับบ้าน ก็แปลกใจว่าทำไมร่างจริงจะกลายเป็นร่างปลอม ร่างปลอมกลายเป็นร่างจริง ผมก็งงครับ”

นายกิตติ วะสีนนท์ กมธ.ซักถาม ถามว่า ข้อกล่าวหากรณีกำหนดเวลาแปรญัตติไม่เป็นไปตามข้อบังคับการประชุมสภา เมื่อที่ประชุมพิจารณารับหลักการวาระ1 แล้ว มีผู้เสนอกำหนดเวลาขอแปรญัตติ 15 วัน และ60วัน ต้องให้ที่ประชุมพิจารณาลงมติ แต่ก่อนลงมติเกิดปัญหาองค์ประชุมไม่ครบ จึงยังไม่ได้ลงมติ แต่นายสมศักดิ์ได้สั่งให้กำหนดเวลาแปรญัตติ 15 วัน แต่มีผู้ทักท้วง จึงนัดอีกครั้ง และที่ประชุมจึงมติกำหนด 15 วัน แต่นายสมศักดิ์ ให้เริ่มนับย้อนหลังไปวันประชุมครั้งแรก ทำให้ไม่ครบกำหนด เพราะเหลือให้สมาชิกแปรญัตติเพียง 1 วัน และป.ป.ช.ก็ชี้มูลว่า ชี้จงใจทำหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญปี 50 ถามว่าการตัดสินใจเช่นนั้นมีเหตุผลใด

**ยันไม่เคยตัดสิทธิ์สมาชิก

นายสมศักดิ์ ชี้แจงว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้กล่าวหาบิดเบือนข้อเท็จจริง และตนไม่มีโอกาสชี้แจงต่อศาลรธน. ทำให้ฟังความข้างเดียว และวินิจฉัยผิดอย่างชัดเจน รวมทั้งป.ป.ช.ด้วย ซึ่งข้อบังคับการประชุมที่ 96 เขียนชัดว่า การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในขั้นกรรมาธิการ วาระ 2 ผู้ใดไม่เห็นด้วยและต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้เสนอคำแปรญัตติล่วงหน้า เป็นหนังสือต่อประธานกรรมาธิการฯภายใน 15 นับจากวันถัดจากที่รับหลักการ เว้นแต่ที่ประชุมกำหนดแปรญัตติไว้เป็นอย่างอื่น ในวันนี้มีผู้เสนอให้กำหนด15 วันกับ 60 วัน แต่แต่เมื่อองค์ประชุมไม่ครบก็ทำอะไรไม่ได้ ตนต้องปิดประชุม แต่ เมื่อปิดประชุมแล้วกมธ. ต้องเริ่มทำงานทันทีเลย ถ้ายังไม่มีมติเป็นอื่น คือต้องยึด15วันอยู่ ดังนั้นเพื่อให้กระบวนการกฎหมายเดินหน้าต่อเนื่อง ซึ่งตนก็ได้แจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้า

"ยืนยันว่าผมไม่ได้ทำให้เขาเสียสิทธิ์ แต่เป็น ปกป้องสิทธิไม่ให้ตกขบวน ด้วยซ้ำ และเมื่อมีการเรียกประชุมใหม่เพื่อขอมติในญัตติที่ค้างอยู่ว่าจะเอาอย่างไร ในวันที่ 18 เม.ย. ที่ประชุมมีมติชัดเจนยืนยัน 15วัน หมายความว่า15วันนับจากวันที่รัฐสภารับหลักการ คือตีสองวันที่4 เม.ย. คือเริ่มนับจากวันที่5 เม.ย. แต่ถ้านับจากวันที่ศาลรธน.เข้าใจคือ 19 เม.ย. นั่นแหละผิดเจ๋งเป้งเลย"

ต่อมา นายนิรวัชญ์ ปุณณกันต์ กมธ.ซักถาม ถามว่า การประชุมรัฐสภาหรือ ส.ส. หากระหว่างการประชุมปรากฏว่า สมาชิกบางคน บางกลุ่มนำบัตรสมาชิกคนอื่นมากดแทนกัน อาจรวมถึงแก้ไขรธน.ด้วย ถามว่า เคยทราบหรือไม่ว่ามีการกระทำดังกล่าว มีผู้ทักท้วงร้องเรียนหรือไม่ การกระทำดังกล่าวสามารถทำได้หรือไม่

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่ามีจริงหรือเปล่า ต่อให้มีจริงหรือผิดจริง ก็ไม่เกี่ยวกับตน และตนก็ทราบตอนเป็นข่าว แต่ก็ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ทำเกินกว่านี้ไม่ได้ ต่อให้เป็นเรื่องจริง ผิดจริง ก็เป็นความผิดเฉพาะตัว ไม่เกี่ยวกับการถอดถอนของตนเลย คนละเรื่องกัน

ด้านนายทวีศักดิ์ สูทกะวาทิน ถามว่า ในฐานะประธานมอบหมายให้นายนิคม ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม และมีการตัดสิทธิ์ผู้สงวนคำแปรจำนวนมากนั้น การกระทำดังกล่าวขัดต่อข้อบังคับการประชุมหรือกฎหมายหรือไม่ และอยู่ในอำนาจการวินิจฉัยของประธานในขณะนั้นหรือไม่

**โวสุดยอดประธาน อะลุ้มอล่วย

นายสมศักดิ์ ตอบว่า ประเด็นนี้ครอบคลุมไม่ชัดเจน เพราะการเสนอขอปิดอภิปรายขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์ เช่น หากเป็นการอภิปรายปกติ เมื่อไม่มีผู้อภิปรายก็ปิด หรือกรณีถ้าถามสมาชิกท่านใดเป็นอื่นหรือไม่ และไม่มีใครเป็นอื่น ก็ถือว่าเห็นชอบตามนี้ แต่ในกรณีหรือสถานการณ์ที่ไม่ปกติ คือขั้นตอนการเสนอคำแปรญัตติ มีคนขอแปรญัตติเข้ามาเป็นรายบุคคล ซึ่งข้อบังคับที่ 99 ‘ระบุว่าถ้ากรรมาธิการสงวนความเห็น หรือสมาชิกสงวนคำแปร จะต้องได้สิทธิ์ ประธานจะขวางไม่ได้ แต่มีบรรทัดสุดท้ายว่า ทังนี้เว้นแต่ที่ประชุมรัฐสภาจะลงมติเป็นอย่างอื่น ถ้าที่ประชุมขอปิดอภิปรายก็ปิดได้’

"ข้อกล่าวหาผมว่ารวบรัด ตัดตอน จำกัดสิทธิ์ผู้อภิปราย ไม่ให้ความสำคัญกับเสียงข้างน้อย ขอบอกว่า ตั้งแต่มีรัฐสภาไทย มา พูดได้อย่างภาคภูมิ ว่าไม่มีประธานคนใดที่อะลุ่มอล่วย ให้สิทธิสมาชิกมากเท่าผมแล้ว กรรมาธิการได้แจ้งว่ากรรมาธิการทั้ง 57 คน เสนอแปรญัตติขัดข้อบังคับคือเลยกำหนดเวลาแล้ว แต่ก็ไม่ยอม เลยนำเสนอต่อที่ประชุมให้พิจารณา ผมในฐานะประธานการประชุม มีอำนาจโดยชอบที่จะวินิจฉัยเรื่องนี้ได้ทันที แต่กลับอะลุ่มอล่วยให้มีการปรึกษาหารือเรื่องนี้ ร่วม10 ชั่วโมง ทั้งที่คุยแค่ 10 นาทีก็จบ ผมยังอดทน ไม่มีท่านใดอดทนเท่านี้อีกแล้ว สุดท้ายมีคนนำเสนอให้ปิดการหารือ และมีมติตามนั้น แต่มีคนขอหารือว่า มตินั้นขัดหรือไม่ขัด ทั้งที่ผมมีอำนาจโดยชอบที่จะวินิจฉัยเองอยู่แล้ว ผมกลับไม่ทำ ปล่อยให้ยืดเยื้อ จนต้องใช้มติที่ประชุม ตามข้อ 117 ว่าทั้ง 57 คนขัดหรือไม่ขัด เมื่อมีมติว่าขัดหลักการ ก็ถือเป็นเด็ดขาด แค่นี้จบได้หรือยัง แต่ก็ยังไม่จบ ถ้าผมยึดถือข้อบังคับและกฎหมายอย่างเดียว ไม่มีสิทธิ์อภิปรายได้แม้แต่คนเดียว แต่ผมก็อนุญาตให้ทั้ง 57 คนได้สิทธิ์อภิปราย แล้วไปรวบรัดตรงไหน ถ้ากล่าวหาหน้าที่ยืดเยื้อก็คงใช่ แต่รวบรัดนี่ไม่ใช่"

**ยอมรับเผลอร่วมวงชงแก้รธน.

นายยุทธนา ทัพเจริญ กมธ.ซักถาม ถามว่า นายสมศักดิ์ และนายนิคม เคยร่วมลงชื่อหรือเป็นแกนนำในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายอื่นใดหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เท่าที่จำได้ ของตนไม่แน่ใจ แต่ยื่นด้วยกันนั้นไม่มี และโดยมารยาท ตนก็ไม่ได้ลงนามเสนอกฎหมายอยู่แล้ว นอกจากวันนั้นสมาชิลงชื่อไม่ครบ มีพรรคพวกมาขอร้อง ก็มีเผลอไปบ้าง จำไม่ได้ แต่ไม่มีเจตนาอะไร ถึงลงก็ไม่ผิด เพราะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่แล้ว

ต่อมานายมารุต วัฒนโกเมน กมธ.ซักถาม ถามว่า การที่ไม่ไปรวมแถลงเปิดคดี วันที่ 8 ม.ค. 58 แต่ วันที่ 19 พ.ค. 56 ได้ไปร่วมแถลงกับบุคคลอื่นว่าไม่รับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่มีการวินิจฉัยการแก้ไขที่มา ส.ว. ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติ เหตุใดไม่ยอมรับระบบการตรวจสอบการถ่วงดุลตามระบอบประชาธิปไตยเสียเอง

**ยืนกรานไม่ผิด-ไม่เจตนา-ไม่ถูกถอด

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในชีวิตตนอยู่ในการเมืองมากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิต เกือบ32 ปี แล้ว ตนเป็นนักประชาธิปไตย ผ่านการเลือกตั้งทุกยุคสมัย ฉะนั้นตนเคารพทุกองค์กรในระบอบประชาธิปไตย ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. ก็เป็นหนึ่งที่ตนให้ความเคารพ โดยเฉพาะสภาแห่งนี้ ยิ่งต้องเคารพ ส่วนที่ไปแถลงไม่เห็นด้วย เพราะเห็นชัดๆว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยผิดเรื่องข้อกฎหมาย แล้วจะให้ตนว่าอย่างไร และวันที่ 8 ม.ค. ที่ไม่มาแถลงเปิดคดี เพราะตนได้ชี้แจงลายลักษณ์อักษรครอบคลุมครบถ้วน ชัดเจนทุกประเด็นแล้ว ถ้าอ่านก็จะเข้าใจทั้งหมด โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาชี้แจงอีก ตนเลยไม่อยากรบกวนเวลาสภาแห่งนี้ เพราะมีค่า หวังว่าสมาชิกอ่านแล้วจะเข้าใจ และหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม เลยตัดสินใจไม่มา แต่หลังจากได้ฟังประชุม วันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ก็เห็นว่าไม่มาไม่ได้ เพราะมีบางอย่างทำให้สมาชิกอาจจะเข้าใจสับสน หรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เช่น เรื่องเอกสารปลอม ถ้าไม่มาอะไรจะเกิดขึ้น แค่กล่าวหาประธาน อนุมัติเอกสารปลอม แค่นี้ก็ตายแล้ว ตนถึงต้องมา

"ผมขอพูดเพิ่มเติมว่า เรากำลังพิจารณาเรื่องอะไร ถอดถอน ใช่หรือไม่ ถ้าอ้างรัฐธรรมนูญปี 50 ม. 270 ที่ว่ากรณีจะเข้าข่ายการถอดถอนต้องมีสอง 2 ลักษณะ คือ มีความผิดก่อนแล้วค่อยมาดูว่า เข้าลักษณะจงใจ มีเจตนาหรือเปล่าด้วย ไม่ใช่ผิดเฉยๆ ก็ถอดถอน ผิดแล้วต้องเจตนาด้วย สมมุติถ้าผิดจริง แล้วระดับไหน ไม่ใช่เขียนเอกสารผิดก็ถอดถอน วินิจฉัยพกพร่องอาจผิดพลาดพลั้งเผลอ ก็ถอนไม่ได้ การถอดถอนจริง ต้องมีผลสำคัญกับกฎหมายฉบับนั้น และต้องมีเจตนา สรุปคือ ผมไม่มีอะไรผิด แม้แต่ผิดพลาด ยังไม่มีเลย อย่าว่าแต่เจตนาเลย ไม่เข้าข่ายถอดถอน ตามมาตรา 270 แน่นอน กรณีเอกสารปลอม ไม่มีเจตนาอย่างแน่นอน ถ้าผมติดคุก ก็ติดกันทั้งหมด เพราะทุกยุคทุกสมัยก็ทำแบบนี้ ถ้าติดเพราะความบกพร่อง มองอย่างไรก็ไม่เข้าข่าย แค่หาข้อผิดพลาดยังหาไม่ได้เลย หาก่อนแล้วดูเจตนาตรงไหน นี่ยังไม่ต้องพูดเลยไปถึงไม่มีรัฐธรรมนูญปี 50 แล้ว ที่ผมมาสภาวันนี้ ผมมาเพื่อตามหาความยุติธรรม ถ้าสภาแห่งนี้ให้ความเป็นธรรมไม่ได้ ก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหนอีกแล้ว ผมมั่นใจว่าผมจะได้รับความเป็นธรรม" นายสมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

จากนั้นนายพรเพชร ได้ย้ำกับสมาชิกว่า จะมีการนัดประชุมเพื่อแถลงปิดคดีของนายนิคม และนายสมศักดิ์ ในวันที่ 21 ม.ค. ซึ่งตามกำหนดจะต้องให้คู่กรณีแถลงภายใน 7 วัน คือวันที่ 20 ม.ค. แต่เนื่องจากมีการประชุมสปช. ดังนั้นของดข้อบังคับ เพื่อเลื่อนมาวันดังกล่าว

**สนช.จะทำให้สังคมมีความสุข

นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิก สนช. กล่าวภายหลังกมธ.ได้ซักถาม ป.ป.ช. และนายนิคม นายสมศักดิ์ ตอบจนเสร็จสิ้นประบวนการ ว่า ขณะนี้ข้อเท็จจริงในการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ผู้ร้องนายนิคม และนายสมศักดิ์ ผู้ถูกร้อง ซึ่งสนช. ทุกคนทราบทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงความคิดในความเห็นเรื่องข้อกฎหมาย เป็น 2 กลุ่ม คือ แม้ไม่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญ 50 แต่ยังสามารถเอาผิดตามกฎหมายป.ป.ช. ได้ และอีกส่วนเห็นว่า ไม่ควรเอาผิดเพราะไม่มี รธน. 50 แล้ว โดยหลังจากการซักถาม ก็ได้มี สนช. 7-8 คน มาสอบถามเรื่องนี้กับตน และก็ได้ให้คำแนะนำไป แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถตอบได้ว่า ฝ่ายไหนมีจำนวนมากกว่ากัน เพราะเชื่อว่าหลังจากนี้ ทุกคนจะไปทำความเข้าใจในเรื่องข้อกฎหมาย จนแน่ใจ และตัดสินในการลงมติใน วันที่ 23 ม.ค. ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละคน

"เท่าที่ฟังมา กระแสสังคมตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนครั้งที่สนช. ลงมติรับเรื่องการถอดถอนนายนิคม และสมศักดิ์ ที่งดออกเสียงจำนวนมาก หลังจากนี้เชื่อว่า สนช. จะมีความมั่นใจ และกล้าตัดสินอย่างใดอย่างหนึ่งที่ให้สังคมมีความสุข ส่วนฝ่ายไหนจะมีความสุข ไม่สามารถตอบได้" นายวัลลภ ระบุ

**"ปู"ขอตอบเอง แต่ทนายกลัวถูกต้อน

วานนี้ ที่อาคารชินวัตร 3 ถนนวิภาวดีรังสิต น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมกับทีมทนายความ รวมทั้งอดีตรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในโครงการรับจำนำข้าว เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการตอบข้อซักถาม ของคณะกรรมาธิการ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ในวันนี้ กรณีที่ป.ป.ช. ยื่นถอดถอนในข้อหา ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว โดยมีการประชุมกันตลอดทั้งวัน เพื่อวางแผนการตอบคำถาม คาดการณ์คำถามของ สนช. ซึ่งในระหว่างการประชุม ได้มีการติดตามการถ่ายทอดสดการประชุมสนช. เพื่อพิจารณาถอดถอนกรณีของนายสมศักดิ์ และนายนิคมด้วย เพื่อเป็นแนวทางในการตอบคำถาม

โดยภายหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม สนช.ในส่วนของนายสมศักดิ์ และนายนิคม แล้ว ทีมงานของนายสมศักดิ์ และนายนิคม ก็ได้เดินทางเข้าร่วมประชุมกับทีมทนายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วย เพื่อประเมินผลดีผลเสียจากการที่ผู้ถูกกล่าวหา เดินทางไปตอบคำถามด้วยตนเอง

รายงานข่าวแจ้งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีความมั่นใจ และแสดงเจตจำนงที่จะเดินทางไปร่วมประชุมสนช. และตอบข้อซักถามด้วยตนเอง หลังจากที่เมื่อครั้งการแถลงเปิดคดี มีการประเมินกันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำได้ดี โต้แย้งได้ทุกประเด็น

อย่างไรก็ตาม ทางทีมทนายความรวมถึงอดีตรัฐมนตรี กังวลว่า อาจจะถูกกรรมาธิการ สนช. รุมซักแบบไล่ต้อน อีกทั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นเพียงผู้กำกับนโยบาย หากมีการซักถามในรายละเอียดปลีกย่อย ก็คงจะต้องให้อดีตรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ตอบ จึงมองว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่จำเป็นต้องไปด้วยตนเอง หรือไม่ก็ไปพร้อมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยกันตอบข้อซักถามจะดีกว่า

"นายกฯยิ่งลักษณ์ อยากไปตอบคำถามด้วยตัวเอง เพราะมั่นใจว่า สามารถตอบได้ในทุกประเด็นเช่นเดียวกับตอนที่แถลงเปิดคดีกับ สนช. แต่ทีมทนาย เกรงว่าจะถูกไล่ต้อนในบางประเด็น จนไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจน จึงมีการประสานขออนุญาตให้อดีตรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องร่วมตอบคำถามด้วย ซึ่งหากได้รับอนุญาตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็จะเดินทางไปด้วยตัวเอง เบื้องต้นได้มีการประสานเรื่องผู้ติดตามอย่างไม่เป็นทางการไปยังประธาน สนช.แล้ว" แหล่งข่าวในที่ประชุมระบุ

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เตรียมซักซ้อมการตอบคำถามมาแล้ว 3 วัน ก่อนหน้านี้ โดยให้ทีมทนาย และคณะทำงานร่วมกันตั้งคำถาม ตั้งแต่คำถามที่เบาที่สุด จนถึงเลวร้ายที่สุดมากกว่า 70 คำถาม ที่คาดว่า ทางกรรมาธิการ สนช. จะใช้ในการซักถาม

**สนช.ส่งคำถามคดีปูรวม 83 คำถาม

นายสมชาย แสวงการ สนช. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการซักถามสำนวนคดีถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปิดเผยว่า กมธ.ฯยังประชุมพิจารณาสรุปประเด็นคำถามของสมาชิก สนช. เกี่ยวกับการถอดถอนอดีตนายกฯไม่แล้วเสร็จ เนื่องจาก มีประเด็นคำถามเข้ามาจำนวนมาก คือ แบ่งเป็นคำถามที่จะถามป.ป.ช. 23 คำถาม และคำถามของน.ส.ยิ่งลักษณ์ อีก 60คำถาม รวมแล้ว 83 คำถาม โดยจะตัดคำถามประเด็นที่ซ้ำซ้อนออก และสรุปให้ได้ไม่เกิน 50 คำถาม ขณะนี้พิจารณาไปแล้วราว 80 เปอร์เซ็นต์ อยู่ระหว่างการจัดหมวดหมู่ความสัมพันธ์ของคำถามที่เกี่ยวเนื่องสัมพันกัน คาดว่า จะแล้วเสร็จในเวลาประมาณ 22.00 -23.00 น. ของคืนวันที่ 15 ม.ค. ทั้งนี้ประเด็นคำถามอาจจะเพิ่มขึ้น หรือลดลงจากที่กำหนดไว้เล็กน้อย ส่วนรายละเอียดคำถามต่างๆ ไม่สามารถเปิดเผยได้
กำลังโหลดความคิดเห็น