xs
xsm
sm
md
lg

“นิพนธ์” แจงงานวิจัยเอาไปชี้มูลใครไม่ได้ จ่อเปิดบทสรุปโกงจำนำข้าวเร็วๆ นี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายนิพนธ์ พัวพงศกร  ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจรายสาขา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (แฟ้มภาพ)
เจ้าของผลงานวิจัยจำนำข้าว ทีดีอาร์ไอ ยันรายงานฉบับแรกทำตั้งแต่สมัย “ทักษิณ” เพื่อแสวงหาทางป้องกันการทุจริต ส่วนอีกฉบับที่พาดพิงถึงรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ยังไม่ได้ส่งให้ ป.ป.ช. งงเข้าใจผิดกันได้ยังไง รับไม่อยากคิดเป็นเรื่องการเมือง แต่เชื่อคงเพราะถูก “วิชา” ยกย่อง แย้มเตรียมเขียนบทสรุปโกง วอนเข้าใจงานวิจัยไม่สามารถนำไปชี้มูลใครได้ แค่บอกได้เพียงรูปแบบการโกง ย้ำนักการเมืองอ้างชาวนาหาประโยชน์จากตลาดข้าว

วันนี้ (10 ก.ย.) นายนิพนธ์ พัวพงศกร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจรายสาขา ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมชนบท สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เจ้าของรายงานวิจัยเรื่องนโยบายจํานําข้าว ได้ชี้แจงถึงกรณีที่อัยการสูงสุดแถลงอ้างคณะทํางานคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องกระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการฐานละเลยไม่ดําเนินการระงับยับยั้งโครงการ มีสํานวนคดียังไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะรายงานวิจัยเรื่องโครงการรับจํานําข้าวของตน มีเพียงหน้าปกรายงานวิจัยเท่านั้นว่า ข่าวดังกล่าวสร้างความสับสนและเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์รายงานวิจัยโครงการนโยบายจํานําข้าวของทีดีอาร์ไออย่างกว้างขวาง ในฐานะผู้รับผิดชอบจัดทํารายงานวิจัยฉบับดังกล่าว ตนขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายงานวิจัยที่ตกเป็นข่าว

นายนิพนธ์ ระบุว่า ประการแรก รายงานวิจัยฉบับที่ อสส. อ้างถึงไม่ใช่รายงานวิจัยที่บ่งชี้ความผิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะไม่ใช่การศึกษาวิจัยโครงการรับจํานําข้าวทุกเม็ดตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย แต่เป็นการวิจัยนโยบายรับจํานําข้าวฤดูการผลิตปี 2548/49 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เจ้าของผลงานวิจัย (ผู้ว่าจ้าง) คือ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชื่อรายงานวิจัยคือ “โครงการศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าวเพื่อป้องกันการทุจริต : แสวงหาค่าตอบแทนส่วนเกินและเศรษฐศาสตร์การเมืองของโครงการรับจํานําข้าวเปลือก” ตีพิมพ์เมื่อตุลาคม 2553 ท่านผู้สนใจสามารถหาต้นฉบับได้จาก ป.ป.ช. และจากเว็บไชต์ของทีดีอาร์ไอ (www.tdri.or.th/research/d2011003)

นายนิพนธ์ ชี้แจงว่า ส่วนรายงานอีกฉบับหนึ่งของตนกับเพื่อนนักวิจัย เรื่อง การทุจริตในการระบายข้าวของโครงการรับจํานําข้าวในสมัยรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ คณะกรรมการตรวจรับของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเพิ่งให้ความเห็นต่อเนื้อหาของรายงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2557 รายงานฉบับนี้ยังไม่เคยส่งให้ ป.ป.ช. มีแต่การเปิดเผยบทสรุปผลวิจัยให้สื่อมวลชนบางฉบับเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2557 อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้สังคมก็เลยเกิดความเข้าใจผิดว่า ป.ป.ช. นําหลักฐานจากรายงานวิจัยฉบับหลังไปกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์

นายนิพนธ์ ระบุว่า 2 วัตถุประสงค์หลักของรายงานฉบับแรกที่ ป.ป.ช. กล่าวถึงในสํานวนไม่ใช่การศึกษาเรื่องการทุจริตโดยตรง แต่เป็นการศึกษาเรื่องความเสียหายต่างๆ ที่เกิดจากโครงการรับจํานําข้าว ในสมัยรัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนการคลัง ผลขาดทุน ต้นทุนสวัสดิการสังคม และผลตอบแทนพิเศษที่เกิดจากโครงการรับจํานําข้าว ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตอย่างกว้างขวาง ประเด็นหลักของรายงานฉบับนี้ คือ การแสวงหามาตรการช่วยเหลือชาวนาโดยไม่แทรกแซงตลาด ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการทุจริต มาตรการดังกล่าวจะเป็นการป้องกันการทุจริตที่ผลมากที่สุด ซึ่งนายวิชา มหาคุณ กรรมการเจ้าของสํานวนคดี ได้แถลงว่า สาเหตุที่มิได้ส่งรายงานวิจัยโครงการนโยบายข้าวของทีดีอาร์ไอให้ อสส. เพราะรายงานของทีดีอาร์ไอเป็นเพียงการยกตัวอย่างว่ามีช่องทางการทุจริตในโครงการรับจํานําข้าวที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง ไม่ได้หยิบยกรายงานวิจัยดังกล่าวมาเป็นเอกสาร หลักฐานในการชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถ้าเช่นนั้น สื่อมวลชนบางฉบับ สังคม ตลอดจนอัยการสูงสุดเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับรายงานวิจัยของทีดีอาร์ไอได้อย่างไร

นายนิพนธ์ ระบุอีกว่า สาเหตุอาจมีหลายประการ ซึ่งรวมทั้งประเด็นการเมืองที่ตนไม่อยากคาดเดา แต่ตนคิดว่าสาเหตุหนึ่งอาจจะเกิดจากคําบรรยายของ นายวิชา ในการอบรมหลักสูตรนิติเศรษฐศาสตร์ระยะสั้นแก่เจ้าหน้าที่สํานักงาน ป.ป.ช. เมื่อ 21 ก.ค. ว่า ถ้าไม่มีการริเริ่มของผู้ทรงคุณวุฒิทางเศรษฐศาสตร์ที่ได้วิเคราะห์ไว้ เช่น ทีดีอาร์ไอ ศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าว และการแสวงหาคําตอบของตน ฟันธงว่า ปปช.ก็ไม่สามารถที่จะชี้มูลความผิดกับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ ดังนั้น มิติทางเศรษฐศาสตร์มีความสําคัญมากต่อการทํางานของ ป.ป.ช. อันที่จริง นายวิชา ควรยกความดีความชอบนี้ให้แก่ นายเมธี ครองแก้ว อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ซึ่งริเริ่มให้มีการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์เพื่อหามาตรการป้องกันการทุจริตจากการแทรกแซงตลาดสินค้าเกษตร ในเวลานั้น ป.ป.ช. ได้ว่าจ้างนักวิชาการจากธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และทีดีอาร์ไอ ศึกษาเรื่องการแทรกแซงตลาดข้าว มันสําปะหลัง อ้อย ยางพารา และลําไย และเสนอแนะมาตรการป้องกันการทุจริต

“ในเร็วๆ นี้ ผมจะเขียนบทความสรุปผลการวิจัยเรื่องการทุจริตการระบายข้าวในโครงการรับจํานําข้าวทุกเม็ดของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลงในสื่อมวลชน แต่วันนี้ผมขออนุญาตทําความเข้าใจล่วงหน้ากับท่านผู้อ่านก่อนว่ารายงานวิจัยฉบับใหม่นี้คงไม่สามารถนําไปใช้ชี้มูลความผิดใครคนใดคนหนึ่ง เพราะเป็นเพียงงานวิชาการที่พยายามแสวงหาหลักฐานว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง รูปแบบและพฤติกรรมทุจริตเป็นอย่างไร และการทุจริตในการระบายข้าวมีมูลค่าเท่าไร สิ่งที่นักวิชาการอย่างผมทําได้ คือ การให้ความรู้และข้อเท็จจริงกับสังคมว่าโครงการรับจํานําข้าวมิได้มีแค่ประโยชน์ต่อชาวนาเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่ก่อให้เกิดต้นทุนและความเสียหายต่อสังคมใหญ่หลวงกว่าเม็ดเงินจากผู้เสียภาษีที่นักการเมืองโปรยให้ชาวนาบางส่วน ความเสียหายสําคัญ คือ การทุจริตของผู้เกี่ยวข้องและผู้มีอํานาจระดับสูง ตลอดจนการนําระบบค้าขายแบบเล่นพวกเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์จากตลาดข้าว แล้วใช้ชาวนาเป็นข้ออ้าง งานวิจัยของนักวิชาการไม่ใช่งานสืบสวนสอบสวนเพื่อหาผู้กระทําผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง นักวิชาการมีเพียงหน้าที่ศึกษาหาต้นตอของการทุจริตเพื่อหาทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติเท่านั้น โปรดกรุณาอ้างอิงและใช้ประโยชน์งานวิชาการให้ถูกที่ถูกทางด้วย” นายนิพนธ์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น