ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ชี้แจง กรณีรายงานวิจัยเรื่องนโยบายจํานําข้าวของทีดีอาร์ไอที่ ปปช. อ้างถึงใน สํานวนคดีกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรี นส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดังนี้
เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2557 โฆษกสํานักงานอัยการสูงสุด (อสส.) แถลงว่าคณะทํางานเรื่องคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิด นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องกระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการฐานละเลยไม่ดําเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจํานําข้าว มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าสํานวนคดียังไม่สมบูรณ์พอที่จะดําเนินคดีตามข้อกล่าวหา หนึ่งในประเด็นที่ยังไม่สมบูรณ์ คือ การที่ ปปช. กล่าวอ้างถึงรายงานวิจัยเรื่องโครงการรับจํานําข้าวของทีดีอาร์ไอ ว่า “โครงการ (รับจํานําข้าว) ดังกล่าว” มีการทุจริตและมีความเสียหายจํานวนมาก แต่ในสํานวนการไต่สวนมีเพียงหน้าปกรายงานวิจัยเท่านั้น
ข่าวดังกล่าวสร้างความสับสนและเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์รายงานวิจัยโครงการนโยบายจํานําข้าวของทีดีอาร์ไออย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ในฐานะผู้รับผิดชอบจัดทํารายงานวิจัยฉบับดังกล่าว ผมขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายงานวิจัยที่ตกเป็นข่าว ประการแรก รายงานวิจัยฉบับที่อสส.อ้างถึง ไม่ใช่ รายงานวิจัยที่บ่งชี้ความผิดของ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะไม่ใช่การศึกษาวิจัยโครงการรับจํานําข้าวทุกเม็ดตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย แต่เป็นการวิจัยนโยบายรับจํานําข้าวฤดูการผลิตปี 2548/49 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เจ้าของผลงานวิจัย (ผู้ว่าจ้าง) คือ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชื่อรายงานวิจัยคือ “โครงการศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าวเพื่อป้องกันการทุจริต : แสวงหาค่าตอบแทนส่วนเกินและเศรษฐศาสตร์การเมืองของโครงการรับจํานําข้าวเปลือก” ตีพิมพ์เมื่อตุลาคม
2553 ท่านผู้สนใจสามารถหาต้นฉบับได้จาก ปปช. และจากเวปไชต์ของทีดีอาร์ไอ (www.tdri.or.th/research/d2011003)
ส่วนรายงานอีกฉบับหนึ่งของผมกับเพื่อนนักวิจัย เรื่อง การทุจริตในการระบายข้าวของโครงการรับจํานําข้าวในสมัยรัฐบาล นส. ยิ่งลักษณ์ คณะกรรมการตรวจรับของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเพิ่งให้ความเห็นต่อเนื้อหาของรายงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2557 รายงานฉบับนี้ยังไม่เคยส่งให้ปปช. มีแต่การเปิดเผยบทสรุปผลวิจัยให้สื่อมวลชนบางฉบับเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2557 อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้สังคมก็เลยเกิดความเข้าใจผิดว่า ปปช. นําหลักฐานจากรายงานวิจัยฉบับหลังไปกล่าวหา นส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วัตถุประสงค์หลักของรายงานฉบับแรกที่ ปปช. กล่าวถึงในสํานวนไม่ใช่การศึกษาเรื่องการทุจริตโดยตรง แต่เป็นการศึกษาเรื่องความเสียหายต่างๆที่เกิดจากโครงการรับจํานําข้าว ในสมัยรัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนการคลัง ผลขาดทุน ต้นทุนสวัสดิการสังคม และผลตอบแทนพิเศษที่เกิดจากโครงการรับจํานําข้าว ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตอย่างกว้างขวาง ประเด็นหลักของรายงานฉบับนี้คือ การแสวงหามาตรการช่วยเหลือชาวนาโดยไม่แทรกแซงตลาด ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการทุจริต มาตรการดังกล่าวจะเป็นการป้องกันการทุจริตที่ผลมากที่สุด
กรรมการเจ้าของสํานวนคดี (นายวิชา มหาคุณ) ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า สาเหตุที่มิได้ส่งรายงานวิจัยโครงการนโยบายข้าวของทีดีอาร์ไอให้อสส. เพราะ “รายงานของทีดีอาร์ไอเป็นเพียงการยกตัวอย่างว่ามีช่องทางการทุจริตในโครงการรับจํานําข้าวที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง ไม่ได้หยิบยกรายงานวิจัยดังกล่าวมาเป็นเอกสาร หลักฐานในการชี้มูลความผิด นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
ถ้าเช่นนั้น สื่อมวลชนบางฉบับ สังคม ตลอดจนอัยการสูงสุดเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับรายงานวิจัยของทีดีอาร์ไอได้อย่างไร สาเหตุอาจมีหลายประการ ซึ่งรวมทั้งประเด็นการเมืองที่ผมไม่อยากคาดเดา แต่ผมคิดว่าสาเหตุหนึ่งอาจจะเกิดจากคําบรรยายของ นายวิชา มหาคุณ ในการอบรมหลักสูตรนิติเศรษฐศาสตร์ระยะสั้นแก่เจ้าหน้าที่สํานักงาน ปปช. เมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม 2557 ว่า “ถ้าไม่มีการริเริ่มของผู้ทรงคุณวุฒิทางเศรษฐศาสตร์ที่ได้วิเคราะห์ไว้ เช่น สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าว และการแสวงหาคําตอบของนายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณทีดีอาร์ไอ ตนฟันธงว่า ปปช.ก็ไม่สามารถที่จะชี้มูลความผิดกับรัฐบาล นส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้ ดังนั้นมิติทางเศรษฐศาสตร์มีความสําคัญมาก (ต่อการทํางานของ ปปช.)”
อันที่จริงนายวิชา มหาคุณ ควรยกความดีความชอบนี้ให้แก่ นายเมธี ครองแก้ว อดีตกรรมการปปช. ผู้ซึ่งริเริ่มให้มีการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์เพื่อหามาตรการป้องกันการทุจริตจากการแทรกแซงตลาดสินค้าเกษตร ในเวลานั้น ปปช. ได้ว่าจ้างนักวิชาการจากธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และทีดีอาร์ไอ ศึกษาเรื่องการแทรกแซงตลาดข้าว มันสําปะหลัง อ้อย ยางพารา และลําใย และเสนอแนะมาตรการป้องกันการทุจริต ในเร็วๆนี้ ผมจะเขียนบทความสรุปผลการวิจัยเรื่องการทุจริตการระบายข้าวในโครงการรับจํานําข้าวทุกเม็ดของรัฐบาล นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงในสื่อมวลชน แต่วันนี้ผมขออนุญาตทําความเข้าใจล่วงหน้ากับท่านผู้อ่านก่อนว่ารายงานวิจัยฉบับใหม่นี้คงไม่สามารถนําไปใช้ชี้มูลความผิดใครคนใดคนหนึ่ง เพราะเป็นเพียงงานวิชาการที่พยายามแสวงหาหลักฐานว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง รูปแบบและพฤติกรรมทุจริตเป็นอย่างไร และการทุจริตในการระบายข้าวมีมูลค่าเท่าไร สิ่งที่นักวิชาการอย่างผมทําได้ คือ การให้ความรู้และข้อเท็จจริงกับสังคมว่าโครงการรับจํานําข้าวมิได้มีแค่ประโยชน์ต่อชาวนาเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่ก่อให้เกิดต้นทุนและความเสียหายต่อสังคมใหญ่หลวงกว่าเม็ดเงินจากผู้เสียภาษีที่นักการเมืองโปรยให้ชาวนาบางส่วน ความเสียหายสําคัญ คือ การทุจริตของผู้เกี่ยวข้องและผู้มีอํานาจระดับสูง ตลอดจนการนําระบบค้าขายแบบเล่นพวกเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์จากตลาดข้าว แล้วใช้ชาวนาเป็นข้ออ้าง
งานวิจัยของนักวิชาการไม่ใช่งานสืบสวนสอบสวนเพื่อหาผู้กระทําผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง นักวิชาการมีเพียงหน้าที่ศึกษาหาต้นตอของการทุจริตเพื่อหาทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติเท่านั้น โปรดกรุณาอ้างอิงและใช้ประโยชน์งานวิชาการให้ถูกที่ถูกทางด้วยครับ
เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2557 โฆษกสํานักงานอัยการสูงสุด (อสส.) แถลงว่าคณะทํางานเรื่องคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิด นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องกระทําผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการฐานละเลยไม่ดําเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจํานําข้าว มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าสํานวนคดียังไม่สมบูรณ์พอที่จะดําเนินคดีตามข้อกล่าวหา หนึ่งในประเด็นที่ยังไม่สมบูรณ์ คือ การที่ ปปช. กล่าวอ้างถึงรายงานวิจัยเรื่องโครงการรับจํานําข้าวของทีดีอาร์ไอ ว่า “โครงการ (รับจํานําข้าว) ดังกล่าว” มีการทุจริตและมีความเสียหายจํานวนมาก แต่ในสํานวนการไต่สวนมีเพียงหน้าปกรายงานวิจัยเท่านั้น
ข่าวดังกล่าวสร้างความสับสนและเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์รายงานวิจัยโครงการนโยบายจํานําข้าวของทีดีอาร์ไออย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ในฐานะผู้รับผิดชอบจัดทํารายงานวิจัยฉบับดังกล่าว ผมขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายงานวิจัยที่ตกเป็นข่าว ประการแรก รายงานวิจัยฉบับที่อสส.อ้างถึง ไม่ใช่ รายงานวิจัยที่บ่งชี้ความผิดของ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะไม่ใช่การศึกษาวิจัยโครงการรับจํานําข้าวทุกเม็ดตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย แต่เป็นการวิจัยนโยบายรับจํานําข้าวฤดูการผลิตปี 2548/49 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เจ้าของผลงานวิจัย (ผู้ว่าจ้าง) คือ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชื่อรายงานวิจัยคือ “โครงการศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าวเพื่อป้องกันการทุจริต : แสวงหาค่าตอบแทนส่วนเกินและเศรษฐศาสตร์การเมืองของโครงการรับจํานําข้าวเปลือก” ตีพิมพ์เมื่อตุลาคม
2553 ท่านผู้สนใจสามารถหาต้นฉบับได้จาก ปปช. และจากเวปไชต์ของทีดีอาร์ไอ (www.tdri.or.th/research/d2011003)
ส่วนรายงานอีกฉบับหนึ่งของผมกับเพื่อนนักวิจัย เรื่อง การทุจริตในการระบายข้าวของโครงการรับจํานําข้าวในสมัยรัฐบาล นส. ยิ่งลักษณ์ คณะกรรมการตรวจรับของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเพิ่งให้ความเห็นต่อเนื้อหาของรายงาน เมื่อวันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2557 รายงานฉบับนี้ยังไม่เคยส่งให้ปปช. มีแต่การเปิดเผยบทสรุปผลวิจัยให้สื่อมวลชนบางฉบับเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2557 อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้สังคมก็เลยเกิดความเข้าใจผิดว่า ปปช. นําหลักฐานจากรายงานวิจัยฉบับหลังไปกล่าวหา นส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วัตถุประสงค์หลักของรายงานฉบับแรกที่ ปปช. กล่าวถึงในสํานวนไม่ใช่การศึกษาเรื่องการทุจริตโดยตรง แต่เป็นการศึกษาเรื่องความเสียหายต่างๆที่เกิดจากโครงการรับจํานําข้าว ในสมัยรัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนการคลัง ผลขาดทุน ต้นทุนสวัสดิการสังคม และผลตอบแทนพิเศษที่เกิดจากโครงการรับจํานําข้าว ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตอย่างกว้างขวาง ประเด็นหลักของรายงานฉบับนี้คือ การแสวงหามาตรการช่วยเหลือชาวนาโดยไม่แทรกแซงตลาด ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการทุจริต มาตรการดังกล่าวจะเป็นการป้องกันการทุจริตที่ผลมากที่สุด
กรรมการเจ้าของสํานวนคดี (นายวิชา มหาคุณ) ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า สาเหตุที่มิได้ส่งรายงานวิจัยโครงการนโยบายข้าวของทีดีอาร์ไอให้อสส. เพราะ “รายงานของทีดีอาร์ไอเป็นเพียงการยกตัวอย่างว่ามีช่องทางการทุจริตในโครงการรับจํานําข้าวที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง ไม่ได้หยิบยกรายงานวิจัยดังกล่าวมาเป็นเอกสาร หลักฐานในการชี้มูลความผิด นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
ถ้าเช่นนั้น สื่อมวลชนบางฉบับ สังคม ตลอดจนอัยการสูงสุดเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับรายงานวิจัยของทีดีอาร์ไอได้อย่างไร สาเหตุอาจมีหลายประการ ซึ่งรวมทั้งประเด็นการเมืองที่ผมไม่อยากคาดเดา แต่ผมคิดว่าสาเหตุหนึ่งอาจจะเกิดจากคําบรรยายของ นายวิชา มหาคุณ ในการอบรมหลักสูตรนิติเศรษฐศาสตร์ระยะสั้นแก่เจ้าหน้าที่สํานักงาน ปปช. เมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม 2557 ว่า “ถ้าไม่มีการริเริ่มของผู้ทรงคุณวุฒิทางเศรษฐศาสตร์ที่ได้วิเคราะห์ไว้ เช่น สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ศึกษามาตรการแทรกแซงตลาดข้าว และการแสวงหาคําตอบของนายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณทีดีอาร์ไอ ตนฟันธงว่า ปปช.ก็ไม่สามารถที่จะชี้มูลความผิดกับรัฐบาล นส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้ ดังนั้นมิติทางเศรษฐศาสตร์มีความสําคัญมาก (ต่อการทํางานของ ปปช.)”
อันที่จริงนายวิชา มหาคุณ ควรยกความดีความชอบนี้ให้แก่ นายเมธี ครองแก้ว อดีตกรรมการปปช. ผู้ซึ่งริเริ่มให้มีการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์เพื่อหามาตรการป้องกันการทุจริตจากการแทรกแซงตลาดสินค้าเกษตร ในเวลานั้น ปปช. ได้ว่าจ้างนักวิชาการจากธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และทีดีอาร์ไอ ศึกษาเรื่องการแทรกแซงตลาดข้าว มันสําปะหลัง อ้อย ยางพารา และลําใย และเสนอแนะมาตรการป้องกันการทุจริต ในเร็วๆนี้ ผมจะเขียนบทความสรุปผลการวิจัยเรื่องการทุจริตการระบายข้าวในโครงการรับจํานําข้าวทุกเม็ดของรัฐบาล นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงในสื่อมวลชน แต่วันนี้ผมขออนุญาตทําความเข้าใจล่วงหน้ากับท่านผู้อ่านก่อนว่ารายงานวิจัยฉบับใหม่นี้คงไม่สามารถนําไปใช้ชี้มูลความผิดใครคนใดคนหนึ่ง เพราะเป็นเพียงงานวิชาการที่พยายามแสวงหาหลักฐานว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง รูปแบบและพฤติกรรมทุจริตเป็นอย่างไร และการทุจริตในการระบายข้าวมีมูลค่าเท่าไร สิ่งที่นักวิชาการอย่างผมทําได้ คือ การให้ความรู้และข้อเท็จจริงกับสังคมว่าโครงการรับจํานําข้าวมิได้มีแค่ประโยชน์ต่อชาวนาเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่ก่อให้เกิดต้นทุนและความเสียหายต่อสังคมใหญ่หลวงกว่าเม็ดเงินจากผู้เสียภาษีที่นักการเมืองโปรยให้ชาวนาบางส่วน ความเสียหายสําคัญ คือ การทุจริตของผู้เกี่ยวข้องและผู้มีอํานาจระดับสูง ตลอดจนการนําระบบค้าขายแบบเล่นพวกเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์จากตลาดข้าว แล้วใช้ชาวนาเป็นข้ออ้าง
งานวิจัยของนักวิชาการไม่ใช่งานสืบสวนสอบสวนเพื่อหาผู้กระทําผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง นักวิชาการมีเพียงหน้าที่ศึกษาหาต้นตอของการทุจริตเพื่อหาทางป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติเท่านั้น โปรดกรุณาอ้างอิงและใช้ประโยชน์งานวิชาการให้ถูกที่ถูกทางด้วยครับ