ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เผย เจ้าของงานวิจัยจำนำข้าว เตรียมแจงสังคม หลังถูกนำผลงานไปอ้างในการไต่สวนของ ป.ป.ช. ยันจำนำข้าวมีปัญหามากจริง เกิดโกงในวงกว้าง แต่งานวิจัยแค่ช่วยวางกรอบความคิดโดยไม่ได้มุ่งเป้าเอาผิดใคร และไม่ควรใช้เป็นหลักฐาน หวัง ป.ป.ช.ทำงานรัดกุม หาหลักฐานนำตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้
วันนี้ (9 ก.ย.) เว็บไซต์เฟซบุ๊ก Somkiat Tangkitvanich ของ นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้เขียนถึงคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่ล่าสุดอยู่ในระหว่างการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างอัยการสูงสุด และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ และมีการสอบถามกันเข้ามาพอสมควรต่อเรื่องที่ ป.ป.ช. อ้างงานวิจัยของทีดีอาร์ไอ ในการกล่าวโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในโครงการจำนำข้าว โดยเฉพาะล่าสุดเมื่อความเห็นที่แตกต่างระหว่างอัยการสูงสุด กับ ป.ป.ช. ทำให้เรื่องดังกล่าวกลายเป็นข่าวใหญ่ อันที่จริง นายนิพนธ์ พัวพงศกร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจรายสาขา ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมชนบท เพื่อนร่วมงานของตนที่ทีดีอาร์ไอ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าว และเป็นเจ้าของงานวิจัยดังกล่าว ก็กำลังเตรียมที่จะชี้แจงเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณะอยู่ แต่ตนเห็นว่า การอภิปรายกันในสังคม โดยเฉพาะในโลกออนไลน์เริ่มจะสับสนมากขึ้น โดยเนื้อหาบางส่วนก็พาดพิงมาถึงทีดีอาร์ไอในแง่มุมต่างๆ ตนจึงอยากอธิบายสั้นๆ ว่า ทีดีอาร์ไอทำอะไร เพื่ออะไร และอธิบายว่างานวิชาการแตกต่างจากงานไต่สวนอย่างไร
นายสมเกียรติ ระบุว่า ก่อนอื่น ตนขอแจ้งให้ทราบก่อนว่า โดยส่วนตัว ตนเห็นด้วยกับนายนิพนธ์ อย่างยิ่งว่า นโยบายจำนำข้าวเป็นนโยบายที่มีปัญหามาก เพราะไม่ได้ช่วยคนจนอย่างตรงจุด ทำลายกลไกตลาดค้าข้าวซึ่งทำงานได้ดีพอใช้จนแทบจะเสียหายไปหมด และทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันในวงกว้าง ซึ่ง ป.ป.ช. ควรต้องไต่สวนหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ ประเด็นสำคัญที่ตนอยากสื่อสาร ก็คือ ทีดีอาร์ไอเป็นสถาบันวิจัยด้านนโยบาย หน้าที่ของเราคือ การวิจัยที่มุ่งให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขนโยบายที่มีปัญหา เป้าหมายของทีดีอาร์ไอแตกต่างจากของ ป.ป.ช. ที่ต้องไต่สวนเอาผิดกับผู้ทุจริตคอร์รัปชันหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ตนจึงคิดว่า ป.ป.ช. ไม่ควรอ้างถึงงานวิชาการของทีดีอาร์ไอในฐานะที่เป็นหลักฐาน ในการตัดสินกล่าวโทษผู้ใด เพราะพยานหลักฐานทางวิชาการย่อมมีลักษณะแตกต่างจากพยานหลักฐานในคดีอาญาหรือคดีการเมืองในความรับผิดชอบของ ป.ป.ช.
“ในความเห็นของผม งานวิชาการอาจจะมีประโยชน์บ้างในการเป็นจุดเริ่มต้น หรือช่วยวางกรอบความคิดในเรื่องซับซ้อนที่ ป.ป.ช. ต้องไต่สวน แต่หลักฐานที่จะใช้ได้ในคดีความนั้น ก็เป็นหลักฐานซึ่งมีมาตรฐานในการพิสูจน์คนละอย่างจากหลักฐานทางวิชาการ เช่น งานวิชาการอาจใช้หลักสถิติในการพิสูจน์ข้อสันนิษฐาน ในขณะที่การพิสูจน์การกระทำผิดทางกฎหมาย ก็มีมาตรฐานในกฎหมายกำหนดอยู่ เช่น ต้องมีเจตนา หรือประมาทเลินเล่อ เป็นต้น ซึ่งทางวิชาการมักจะไม่สนใจ เพราะไม่ได้พุ่งเป้าที่จะเอาผิดใคร” นายสมเกียรติ ระบุ
นายสมเกียรติ ระบุอีกว่า ด้วยอำนาจตามกฎหมายและทรัพยากรที่มีอยู่ ตนเชื่อว่า ป.ป.ช. สามารถหาพยานหลักฐานต่างๆ หาตัวคนผิดในโครงการจำนำข้าวมาดำเนินคดีได้ ในขณะที่นักวิชาการไม่ว่าที่ทีดีอาร์ไอ หรือที่ไหนๆ ก็ไม่มีอำนาจไปเรียกใครมาให้ปากคำ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะมุ่งดำเนินคดีกับใคร ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานสำคัญของประเทศ และมีบทบาทหลักในการป้องปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ตนอยากจะเห็น ป.ป.ช. ทำงานอย่างรัดกุมและสื่อสารกับสาธารณะอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของหน่วยงาน ซึ่งตนเชื่อว่า ไม่เกินความสามารถและทรัพยากรที่ ป.ป.ช. มีอยู่