นักวิชาการชี้ถึงเวลาต้องรื้อ กม. การเงินการคลังของประเทศใหม่ทั้งระบบ พร้อมเสนอจัดตั้ง Thai PBO วิเคราะห์ ศก. ในระดับมหภาค และควรมีการตรวจสอบความคุ้มค่าการใช้จ่ายงบประมาณดำเนินโครงการของรัฐบาล ชี้นโยบายประชานิยมของรัฐบาลชุดนี้ทำเศรษฐกิจป่วน หลังตรวจพบมีการใช้งบประมาณแบบไม่จำกัดจากนโยบายประชานิยม โดยเฉพาะในเรื่องโครงการรับจำนำข้าว
เชื่อว่าขณะนี้สถานะความเข้มแข็งด้านการเงินการคลังของรัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังมีปัญหา อัตราการก่อหนี้สาธารณะเกินขีดถึงขั้นอันตราย และยังกระทบต่อการกระจายรายได้
ดังนั้น แต่ละโครงการต้องมีการรายงานข้อเท็จจริงต่างๆ ให้สาธารณชนได้รับทราบ เพราะเงินที่ใช้ล้วนเป็นเงินภาษีของประชาชน เงินงบประมาณ เปรียบเหมือนขนมชั้นที่มีหลายด้าน มีนโยบายที่เป็นผลประโยชน์ และค่าตอบแทน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า หากมีการกำหนดและวางแผนทางการเงิน พร้อมกำหนดนโยบายที่สามารถทำได้ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ และเพิ่มการตรวจสอบการดำเนินโครงการมากขึ้น จะสามารถลดความเสี่ยง และสร้างวินัยทางการคลังได้ในระดับหนึ่ง
นายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในการเสวนา “ทีดีอาร์ไอชวนคิด-ชวนคุยข้อเสนอปฏิรูปประเทศไทย” ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “การสร้างวินัยทางการเงินและการคลัง” ซึ่งจัดขึ้นโดยทีดีอาร์ไอ ระบุว่า แนวทางของการปฏิรูปประเทศนั้นต้องมีการปฏิรูปด้านการเงินการคลัง โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณที่ต้องอยู่บนบรรทัดฐานของความโปร่งใส สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ และควรมีบัญชีการใช้จ่ายงบประมาณที่มีมาตรฐานโดยประชาชนสามารถตรวจสอบ เข้าถึง และรับทราบข้อมูลของรัฐ
นายอัมมาร กล่าวอีกว่า การทำนโยบายให้ประชาชนสนับสนุนถือเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่การทำให้ประชาชนรู้ว่านโยบายเหล่านั้นได้ประโยชน์เท่าไร ขาดทุนเท่าไร ถือเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ซึ่งนโยบาย หรือโครงการประชานิยมต่างๆ ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันดำเนินการเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการรวบอำนาจของฝ่ายบริหารให้เข้ามาเป็นของตัวเองมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ยังเห็นว่าขั้นตอนการพิจารณางบประมาณที่ใช้ในโครงการต่างๆ ในสภาผู้แทนราษฎรนั้น ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติมีความแนบแน่นกันเกินไป จนไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งโครงการที่ถือว่าล้มเหลวที่สุด คือ โครงการรับจำนำข้าว ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการงบประมาณ หรือความเห็นชอบจากรัฐสภา หรือมีองค์กรตรวจสอบที่เข้มแข็ง
ดังนั้น หากต้องการให้รัฐสภาเข้ามามีบทบาทในการถ่วงดุลอำนาจต้องมีการปฏิรูปแก้ไขข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ในแง่ของวงเงินงบประมาณถือเป็นเรื่องที่ต้องทำให้โปร่งใส ต้องระบุไว้ในกฎหมายให้ชัดเจน และถ้าเรื่องใดอยู่ในงบประมาณก็ต้องมีการตรวจสอบบัญชีที่ชัดเจนได้ด้วย
ด้านนายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณทีดีอาร์ไอ กล่าวถึงปัญหานโยบายประชานิยมว่า มีการใช้เงินนอกงบประมาณ “แบบปลายเปิด” คือ ไม่มีข้อจำกัดในการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งไม่ได้ผ่านการพิจารณาโดยรัฐสภา ขณะที่รัฐบาลไม่มีส่วนในการรับผิดชอบต่อระบบรัฐสภาเลย ทำให้เกิดปัญหาการคลัง และขาดระบบการตรวจสอบประเมินผล ซึ่งไทยควรมีการรื้อกฎหมายการเงินการคลังใหม่ โดยจัดตั้งองค์กรอิสระตรวจสอบความคุ้มค่าการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการของรัฐบาลก่อนที่จะมีการเสนอของบประมาณ
นอกจากนี้ นายนิพนธ์ เสนอแนะว่ารัฐบาลมีสิทธิที่จะเสนอโครงการประชานิยมได้ แต่ต้องเสนอให้รัฐสภาพิจารณาด้วยจะทำให้รัฐบาล หรือผู้จัดทำมองเห็นภาพรวมว่างบประมาณมีจำกัด เนื่องจากปัจจุบันไม่มีการเสนอให้รัฐสภาพิจารณา ทำให้ดูเหมือนว่าสามารถกู้เงินได้โดยไม่จำกัดจะมีการบริหารจัดการอย่างไร ซึ่งอาจจะไปเบียดบังงบประมาณในส่วนอื่นที่นำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ส่งผลกระทบต่อการการเติบโตทางเศรษฐกิจ จนเกิดความเสี่ยง และนำไปสู่ความเสียหายต่อการดำเนินนโยบายทางการเงิน และการคลัง
ทั้งนี้ เห็นได้จากขณะนี้อัตราการก่อหนี้สาธารณะเกินขีดถึงขั้นอันตราย และยังกระทบต่อการกระจายรายได้ ดังนั้น แต่ละโครงการต้องมีการรายงานข้อเท็จจริงต่างๆ ให้สาธารณชนได้รับทราบ เพราะเงินที่ใช้ล้วนเป็นเงินภาษีของประชาชน รวมถึงต้องประเมินผลของนโยบายที่ดำเนินการด้วยว่า มีข้อดี และข้อเสียอย่างไรบ้าง ส่วนพรรคการเมืองที่อยู่ระหว่างหาเสียงก็ควรเลือกโครงการที่สร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนมากที่สุด
ด้านนายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงทีดีอาร์ไอ เสนอแนะให้มีการปฏิรูปการคลังอย่างเป็นรูปธรรมด้วยการออกพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ จัดตั้งสำนักงบประมาณประจำรัฐสภา (Thai Parliamentary Budget Office หรือ Thai PBO) โดยเร็ว เพื่อใช้เป็นหน่วยงานทำหน้าที่วิเคราะห์ด้านการคลัง และเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร โดยการแต่งตั้งผู้บริหารที่มาดูแลหน่วยงานนี้ต้องไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาล ต้องเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวมีหน้าที่ในการวิเคราะห์ภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาค ฐานะการคลังของภาครัฐ ต้นทุนการคลัง หรือมาตรการที่สำคัญ รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจของมาตรการนั้นๆ รวมทั้งมีอำนาจตามกฎหมายในการเข้าถึงข้อมูลการคลังทุกประเภท
นอกจากนี้ ผู้ที่เข้าร่วมในวงเสวนาฯ ยังเห็นตรงกันว่า เงินงบประมาณเหมือนขนมชั้นที่มีหลายด้าน มีนโยบายที่เป็นผลประโยชน์ และค่าตอบแทน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถหายไปจากสังคมไทยได้ หากมีการปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง และเร่งรัดให้รัฐมีกฎหมายการเงินการคลัง และการเปิดเผยข้อมูลเพื่อสามารถตรวจสอบ รวมทั้งให้ประชาชนมีส่วนร่วม จะสามารถลดความเหลื่อมล้ำและตอบโจทย์ในเรื่องปัญหาโครงสร้างการคลังไทยได้