xs
xsm
sm
md
lg

“รสนา” ชี้แยกท่อก๊าซขายสมบัติชาติหนักกว่าแปรรูป ปตท.ยุค “แม้ว” - เตือน คสช.อย่าตกหลุมพราง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“รสนา” ชี้แยกท่อก๊าซเป็นการขายสมบัติชาติหนักกว่าการแปรรูป ปตท.ยุค “ทักษิณ” เพราะรัฐจะกลายเป็นฝ่ายถือหุ้นข้างน้อย 25% เชื่อท่อก๊าซตกเป็นของเอกชนแล้ว รัฐไม่มีทางซื้อคืนได้ เตือน คสช.อย่าตกหลุมพราง ควรเปิดรับฟังความเห็นประชาชน ไม่เช่นนั้นการรัฐประหารครั้งนี้จะไปต่อยอดให้กลุ่มทุนฮุบสมบัติชาติบรรลุเป้าหมายที่วางไว้เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ก่อให้เกิดความขัดแย้งหนัก

วันนี้ (21 ส.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 22.40 น. น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “รสนา โตสิตระกูล” ระบุว่า “การขายสมบัติชาติ คือการขยายความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย”

ขอบคุณเพจ “ทำไมคนไทยต้องใช้น้ำมันแพง” ที่นำข้อมูลชุดใหม่เกี่ยวกับ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” มาเปิดเผยเพิ่มเติมเมื่อวานนี้ ท่านที่สนใจสามารถไปดูในเพจ “ทำไมคนไทยต้องใช้น้ำมันแพง”

จากข้อมูลของเพจ “ทำไมคนไทยต้องใช้น้ำมันแพง” น่าสนใจข้อมูลที่ว่า การแปรรูป ปตท.ครั้งที่1 เปิดขายหุ้น ปตท.เพียง 31% (ด้วยเม็ดเงินเพียง 23,199 ล้านบาท) สามารถทำกำไรให้กลุ่มทุนเหล่านี้ถึงกว่า 140,000 ล้านบาท ในเวลาเพียง 2 ปี คิดเป็นกำไรมากกว่า 500% จะมีกิจการอะไรทำกำไรง่ายและมากเท่านี้ นอกจากกิจการขายสมบัติชาติกระมัง!?! เพราะคนขายสมบัติชาติไม่ต้องลงทุน แค่มีอำนาจรัฐก็พอ แต่ผู้ลงทุนคือประชาชนทั้งประเทศ

ดิฉันนึกถึงคำพูดของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ให้สัมภาษณ์นิตยสารประชาชาติ เมื่อปี 2517 ในช่วงที่เพิ่งมี พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ๆ ท่านตั้งคำถามว่า “คนจะเอาสินค้ามาขาย ก็ต้องชั่งดูประโยชน์ที่จะได้ เช่น ถ้าบริษัท ก ค้าขายกะปิมา 20 ปี แล้วได้กำไรทุกปี เจ้าของบริษัทร่ำรวย แล้วเรื่องอะไรเขาจะขายหุ้นของบริษัทเพื่อเอาประโยชน์ไปแบ่งกับชาวบ้าน”

สอดคล้องกับคำกล่าวของโจเซฟ สติกลิสต์ นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2544 ปีเดียวกับที่แปรรูป ปตท.เข้าขายในตลาดหลักทรัพย์ โจเซฟ สติกลิสต์กล่าวว่า “การแปรรูปคือการคอร์รัปชัน Privatization is Bribarization” เพราะ “พวกตนไม่จำต้องฉกฉวยเอากำไรจากรัฐวิสาหกิจเป็นรายปีอีกต่อไป เพียงแต่บอกขายรัฐวิสาหกิจให้ต่ำกว่าราคาตลาดเสีย พวกตนก็สามารถฉวยเอามูลค่าสินทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจก้อนโตเข้าตัว แทนที่จะทิ้งมันไว้ให้ผู้มาดำรงตำแหน่งคนต่อๆ ไปมาถลุง...”

การแปรรูป ปตท.ครั้งที่ 1 ในยุครัฐบาลทักษิณ ซึ่งเคยกล่าวว่าจะขายหุ้นให้เอกชนเพียง 25% แต่ในที่สุดก็มีการขายหุ้นให้เอกชนครอบครองถึง 48-49% ซึ่งเม็ดเงินที่เอกชนจ่ายเพื่อครอบครองหุ้นเกือบครึ่งหนึ่งของ ปตท.มีมูลค่ารวมกันเพียง 28,277ล้านบาทเท่านั้น ต้องถามว่ารัฐวิสาหกิจอย่าง ปตท.ขาดแคลนเม็ดเงินเท่านี้หรือ?

โรดแมปการแปรรูปขายสมบัติชาติครั้งที่ 2 จะหนักกว่ายุครัฐบาลทักษิณ เพราะเป็นการกลับข้างกัน คราวนี้จะให้รัฐเป็นฝ่ายถือหุ้นข้างน้อย 25% ในโครงข่ายพื้นฐานที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และให้เอกชนเป็นเจ้าของโครงข่ายที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินถึง 75% แล้วถูกหลอกว่าวันหนึ่งจะซื้อคืนเพื่อครอบครองท่อก๊าซทั้ง 100% คงไม่ต่างจากชาวนาถูกโกงที่นาไปแล้ว จะมีปัญญาไปซื้อที่นาคืนไหม?

เพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมต้องรีบทำในช่วงที่บ้านเมืองปลอดจากการมี “รัฐธรรมนูญถาวร” หรือก่อนการเลือกตั้งปี 2558 อุปมาเหมือนประตูเหล็กของบ้านหายไปนี่เอง ทำให้ขนทรัพย์สินทำได้สะดวกเพราะไม่มีประตูเหล็กเป็นเครื่องป้องกันกีดขวางโจรกระมัง ?

นี่เป็นการต่อยอดให้กับรัฐบาลทักษิณในยุคยิ่งลักษณ์ ใช่หรือไม่? ที่มีการโยนหินถามทางตั้งแต่เมื่อปี 2554 ว่าอยากให้ ปตท.เป็นเอกชน โดยให้รัฐขายหุ้น ปตท.สัก 2% จากหุ้น 51% เหลือ 48% ปตท.ก็จะสิ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจตามระบบงบประมาณ ก็จะไม่ต้องถูกตรวจสอบงบดุลโดย สตง.ไม่ต้องถูกหน่วยงานรัฐ องค์กรอิสระ และประชาชนมาตรวจสอบอีก

แต่ที่ทำไม่ได้เพราะติดอยู่ที่รัฐธรรมนูญปี 2550 นี่เองมาตรา 84 (11) บัญญัติว่า “การดำเนินการใดที่เป็นเหตุให้โครงสร้างหรือโครงข่ายพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน หรือเพื่อความมั่นคงของรัฐตกไปเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน หรือทำให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละ 51 จะกระทำมิได้”

ที่จริงมาตรานี้ไม่เคยปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2540 แสดงว่าก่อนปี 2550 โครงข่ายของกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน จะยกให้เอกชนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ได้เลย การรัฐประหารปี 2549 มีกลุ่มทุนที่ไปนั่งอยู่ในสภานิติบัญญัติ จึงมีการสอดใส้มาตราแปรรูปสมบัติชาตินี้เข้ามาในรัฐธรรมนูญปี 2550

การรัฐประหารปี 2549 ช่วยให้โรดแมปกลุ่มทุนเข้ายึด ปตท.ได้ครึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาทั้งที่แปรรูปผิดกฎหมาย ศาลฯ จึงมีคำสั่งให้แบ่งแยกทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ถูกฮุบเอาไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและคืนให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนรัฐ

กรณีการแบ่งแยกทรัพย์สินของ ปตท.ควรมีการศึกษาในทางวิชาการว่า ผู้ที่ถูกประชาชนฟ้องคดีทั้ง 4 ประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี, นายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีพลังงาน และ บมจ.ปตท.ว่าแปรรูปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ควรหรือไม่ที่จำเลยแผ่นดินเหล่านี้จะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการแบ่งแยกและคืนทรัพย์สินของแผ่นดินอีก ในเมื่อเป็นผู้ถูกฟ้องในฐานกระทำการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ควรเป็นคนกลางที่ไม่ใช่ผู้ถูกฟ้องคดีมาทำหน้าที่ เพราะหากคนเหล่านี้ต้องการปกป้องสมบัติของแผ่นดิน ก็ไม่ต้องรอให้ประชาชนมาฟ้องคดีด้วยซ้ำ เมื่อได้รับมอบหน้าที่ตามมติ ครม.คนเหล่านี้ก็ไม่ปฏิบัติตามมติ ครม. ซึ่ง สตง.เป็นหน่วยงานที่ไม่ถูกฟ้องคดี การเป็นผู้ตรวจสอบรับรองทรัพย์ที่ต้องคืนจึงแตกต่างจากกลุ่มคนที่ถูกฟ้องคดี การที่กัน สตง.ออกจากกระบวนการในการแบ่งแยกและคืนทรัพย์สินจึงเป็นข้อน่าสงสัย

กลุ่มทุนที่ต้องการเอาสมบัติชาติเป็นของเอกชน กำลังจะใช้การรัฐประหารครั้งนี้สานต่อภารกิจฮุบสมบัติชาติทั้ง 100% กลุ่มทุนการเมืองที่ถูกขนานนามว่าทุนสามานย์ เมื่อปล้นบ้านเมืองแล้วใช้วิธีออกกฎหมายนิรโทษกรรม ส่วนกลุ่มทุนขายสมบัติชาติ จะใช้วิธีออกกฎหมายแล้วจึงฮุบ แบบนี้ใช่หรือไม่?

การขายสมบัติชาติให้เอกชนครั้งที่ 1 เพียง 31% ด้วยเม็ดเงินแค่ 23,199 ล้านบาท ก็ทำกำไรให้กลุ่มทุนการเมืองในครั้งนั้นถึง 140,000 ล้านบาทในเวลาเพียง 2 ปี เอกชนเจ้าของหุ้น 49% ด้วยเงินลงทุนรวมเพียง 28,277 ล้านบาท ได้ส่วนแบ่งเงินปันผลเกือบ 500,000 ล้านบาทในระยะเวลา 12 ปีหลังการแปรรูป และครอบครองส่วนแบ่งทรัพย์สินของชาติอีกกว่า 500,000 ล้านบาทในปัจจุบัน

โรดแมปขายท่อก๊าซสมบัติชาติครั้งที่ 2 นี้ คงจะยิ่งกว่าเอาทรัพย์แผ่นดินมาจัดมิดไนต์เซล ซัมเมอร์เซลกันเลยเชียวล่ะ ตลาดหลักทรัพย์จะอู้ฟู่ขนาดไหน กลุ่มทุนขายสมบัติชาติที่เคยตั้งสำรับก่อนปี 2544 แต่ถูกกลุ่มทุนสามานย์ชุบมือเปิบไป 49% เมื่อครั้งที่แล้ว คราวนี้รีบร้อนจะขอแบ่งเปิบสมบัติชาติอีก 51% ที่เหลือ ใช่หรือไม่?

ดิฉันเชื่อมั่นด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” (คสช.) ได้เข้ามาควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินก็เพื่อสร้างความสงบและความสามัคคีของปวงชนชาวไทย ความสามัคคีจะเกิดขึ้นได้เมื่อรัฐบาลได้บริหารให้มีการแบ่งปันกันตามหลักสาธารณโภคี (การแบ่งปันทรัพยากร สิ่งมีคุณค่าของสังคมให้ส่วนรวม) กับประชาชนคนส่วนใหญ่ มิใช่ดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเหนือรัฐบางกลุ่ม เข้ามาแย่งชิงสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่มีไว้เพื่อการใช้ประโยชน์ร่วมกันของคนในชาติ เอาไปให้กลุ่มของตนครอบครองเพิ่มขึ้นอีก

การแยกท่อก๊าซเพื่อแปรรูปและขายให้เอกชนในตลาดหลักทรัพย์ มิใช่ภารกิจหลักของการเข้าควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของ “คสช.” มิใช่หรือ?

จึงกราบเรียนท่านมาด้วยความเคารพว่า อย่าได้ตกหลุมพรางของกลุ่มทุนที่มุ่งหมายขายสมบัติชาติ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ควรจะเปิดรับฟังประชาชนที่มีสิทธิ์ มีส่วนเป็นเจ้าของทุกคนก่อนจะดำเนินการใดในเรื่องนี้ เพราะเป็นหนึ่งในความขัดแย้งตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มิเช่นนั้นแล้ว จะกลับกลายเป็นว่าการรัฐประหารครั้งนี้เป็นไปเพื่อต่อยอดให้กลุ่มทุนที่หวังฮุบสมบัติชาติได้บรรลุจุดมุ่งหมายที่เคยวางเอาไว้เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งในบ้านเมืองยิ่งขึ้นกว่าครั้งที่กลุ่มทุนสามานย์แปรรูป ปตท.ครั้งแรก และก่อความเสียหายต่อบ้านเมือง ทำให้ประชาชนแตกความสามัคคี ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งรัฐ ซึ่งนั่นย่อมมิใช่สิ่งที่ คสช.และประชาชนปรารถนาอย่างแน่นอน”
กำลังโหลดความคิดเห็น