xs
xsm
sm
md
lg

“รสนา” จับเล่ห์ “ปิยสวัสดิ์” วางแผนต่อยอดฮุบสมบัติชาติไปเป็นของเอกชนเต็มตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. กรุงเทพฯ (แฟ้มภาพ)
อดีต ส.ว.กทม. เตือน “คสช.” ระวังเสร็จโจร หากหลงคารม “ปิยสวัสดิ์” เมื่อไหร่ ท่อส่งก๊าซจะเป็นของเอกชนโดยสมบูรณ์ ชี้ผลร้ายจะโขกราคาพลังงานแพงเท่าไหร่ ประชาชนต้องก้มหน้ารับกรรม เรียกร้องตรวจสอบอะไรอีกไม่ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 12 ส.ค. เมื่อเวลาประมาณ 23.50 น. น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว รสนา โตสิตระกูล ถึงมหากาพย์ขบวนการฮุบท่อก๊าซ เอาสมบัติชาติไปเป็นของเอกชนว่า

“นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการ บมจ.ปตท.เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 ว่า ได้เห็นชอบแนวทางการเพิ่มการแข่งขันในธุรกิจพลังงาน และลดอำนาจการผูกขาดของ ปตท. โดยให้ ปตท.ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรียุครัฐบาลทักษิณเมื่อปี 2544 ก่อนที่จะมีการแปรรูป ปตท.ในส่วนของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ คือ ให้ดำเนินการแยกท่อก๊าซ ปตท.ให้เป็นบริษัทเพื่อเปิดให้บุคคลที่ 3 มาใช้ท่อก๊าซฯ ด้วย

นายปิยสวัสดิ์ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเผชิญหน้า ทีวีสปริงนิวส์ ว่าจะแยกท่อก๊าซออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่โดยให้เป็นของบริษัท ปตท. หลังจากนั้นก็แล้วแต่ “คสช.” จะตัดสินใจให้คนอื่นมาถือหุ้นแทน ปตท.และเรื่องแยกท่อก๊าซก็ต้องทำให้เสร็จก่อนมีการเลือกตั้งในปี 2558 อีกด้วย

ความหมายที่ชัดเจนคือ การอ้างมติ ครม.ในปี 2544 นั้นเป็นการมั่วนิ่มหรือเปล่า? เพราะมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2544 ที่มอบหมายให้ ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจก่อนการแปรรูปไปแยกท่อส่งก๊าซ และมอบหมายให้ ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ 100% ในขณะนั้นคงการถือหุ้นในกิจการนี้ร้อยละ 100 แสดงว่าระบบท่อส่งก๊าซต้องเป็นของรัฐ 100%

แต่สิ่งที่นายปิยสวัสดิ์จะดำเนินการแยกระบบท่อก๊าซมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ โดยในระยะเริ่มแรกเป็นของบริษัท ปตท.ก่อนนั้น ย่อมมีความแตกต่างจากมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพราะ ปตท.ในขณะนี้เป็น บมจ.ปตท.ที่รัฐถือหุ้นเพียง51% และมีเอกชนมาถือหุ้นร่วมด้วยอีก 49% ปตท.ในขณะนี้จึงไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ100% เหมือนเมื่อก่อนแปรรูป

ดังนั้น การแยกท่อก๊าซมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ตามข้อเสนอของนายปิยสวัสดิ์ จะทำให้รัฐและประชาชนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ระบบท่อส่งก๊าซเพียง 51% เท่านั้นไม่ใช่เป็นเจ้าของ 100% ตามมติเดิมของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ

มหากาพย์ฮุบท่อก๊าซภาคสมบูรณ์จะเกิดขึ้นและสำเร็จได้ ถ้า “คสช.” หลงคารมวาทกรรมว่ารัฐไม่ควรถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจอีกเลย เพื่อหนีการล้วงลูกของนักการเมือง ข้อเสนอของคนกลุ่มนี้ คือ รัฐควรขายกรรมสิทธิ์ในรัฐวิสาหกิจทั้งหมดโดยเฉพาะ “ปตท.” ให้เหลือ 0%

เมื่อทุนเอกชนสามารถยึดโครงข่ายกิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซได้ ก็เหมือนยึดเส้นเลือดในกายเศรษฐกิจของชาติด้านพลังงานได้ทั้งหมด แล้วเลือดจะไปไหนเสีย?

ยิ่งกลุ่มทุนที่นิยมขายสมบัติชาติพยายามผลักดันให้ คสช.คงระบบสัมปทานในการให้สิทธิสำรวจผลิตปิโตรเลียมแก่เอกชนต่อไป โดยอ้างวาทกรรมเรื่องปริมาณปิโตรเลียมของประเทศมีน้อย

การคงระบบสัมปทานปิโตรเลียมก็คือ การยกกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลียมทั้งหมดให้แก่กลุ่มทุนพลังงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เมื่อทุนพลังงานครอบครองกลไกเครื่องมือคือระบบท่อส่งก๊าซ ท่อส่งน้ำมัน และได้กรรมสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลียมไปด้วย คนไทยก็จะตกเป็นอาณานิคมของกลุ่มทุนพลังงานเอกชนโดยสมบูรณ์

ราคาพลังงานจะแพงขึ้นเท่าไหร่ ประชาชนต้องก้มหน้ารับกรรมกันไป จะไปเรียกร้องตรวจสอบอะไรอีกไม่ได้ เพราะเขาเป็นเอกชนเต็มตัว

เมื่อตอนกลุ่มธุรกิจเอกชนใหญ่ก่อวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ ประชาชนต้องเข้าไปรับเคราะห์แทน แต่พอเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว เขาก็มาฮุบสาธารณูปโภคพื้นฐานของประชาขน เอาไปเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้ถือหุ้นใหญ่ๆ ไม่กี่ราย

มหากาพย์ฮุบสมบัติชาติภาคสมบูรณ์ จะเป็นการช่วยต่อยอดให้กับการฮุบสมบัติชาติภาคแรกเมื่อปี 2544 ให้สำเร็จในสมัยนี้ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความตื่นรู้ของประชาชนคนไทยทั้งปวง

อนึ่ง การแปรรูป “ปตท.” ครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อปี 2544 ในยุครัฐบาลทักษิณ เกิดขึ้นหลังจากพรรคไทยรักไทยจัดตั้งรัฐบาลเพียง 9 เดือนเศษ ทั้งที่เคยหาเสียงว่าหากได้เป็นรัฐบาลจะยกเลิก “กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ” ซึ่งหนึ่งในกฎหมายที่ถูกเรียกขานว่า “กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ” คือ พ.ร.บ ทุนรัฐวิสาหกิจ ที่ออกตามเงื่อนไขการกู้เงิน IMF เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่เป็นผลจากความไร้วินัยทางการเงินของภาคเอกชน แต่เป็นมรดกบาปที่ประชาชนทั้งประเทศต้องมาจ่ายหนี้แทนเอกชนที่ล้มบนฟูกทั้งหลาย

เมื่อพรรคไทยรักไทยได้เป็นรัฐบาล ทักษิณมองเห็นสำรับผลประโยชน์ที่จัดเตรียมขึ้นโดยกลุ่มสนับสนุนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจตามแนวทางของมิลเลอร์ ฟรีดแมน ที่มีนางมาร์กาเรต แธตเชอร์ เอาไปปฏิบัติจนประเทศอังกฤษย่อยยับจากนโยบายแปรรูปของรัฐบาลของเธอ หากใครติดตามข่าวตอนมรณกรรมของอดีตนายกฯ หญิงอังกฤษคนนี้เมื่อปีที่แล้ว จะเห็น นสพ.ในอังกฤษหลายฉบับได้พาดหัวข่าวคำสัมภาษณ์ของคนอังกฤษที่พูดว่านางแม่มดชั่วร้ายได้ตายแล้ว (The wicked witch is dead) ประชาชนออกมาจัดปาร์ตี้แสดงความยินดีกับการตายของเธอตามท้องถนนสวนกระแสการไว้ทุกข์ของรัฐบาล

ทักษิณมองเห็นสาธารณสมบัติอันอุดม จึงละทิ้งสัญญาประชาคมตอนหาเสียงเลือกตั้ง และเข้ามาชุบมือเปิบผลประโยชน์ต่อจากกลุ่มนิยมขายสมบัติชาติที่ตั้งสำรับไว้แล้ว ด้วยการแปรรูป ปตท.เป็นลำดับแรกทันที

การแปรรูปในสายตานักเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมกระแสหลักที่เน้นความโปร่งใสตรวจสอบได้ และเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลเมื่อปี 2544 อย่าง “โจเซฟ สติกลิสต์” ที่กล่าวอมตวาจาว่า “การแปรรูปคือการคอร์รัปชัน (Privatization is Briberization) เพียงการบอกขายสมบัติชาติในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ก็จะสามารถฉกฉวยเอาทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลเป็นของตนแทนที่จะปล่อยมันไว้ให้คนอื่นเข้ามาถลุง”

การแปรรูป “ปตท.” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สะท้อนอมตวาจาของสติกลิสต์ นอกจากนี้เขายังเคยพูดถึงวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2551 ว่ารัฐบาลอเมริกันไม่ควรไปอุ้มกลุ่มทุนการเงินที่เป็นผู้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงให้แก่สหรัฐอเมริกา และประชาคมเศรษฐกิจโลก เขาถามหาสิ่งที่เรียกว่าความรับผิดชอบ และการตรวจสอบได้ (Accountability) ของกลุ่มทุนการเงินเหล่านั้น และเรียกร้องให้คนพวกนั้นเป็นผู้ที่ต้องจ่ายให้แก่ความเสียหายที่เขาก่อขึ้น ไม่ใช่ให้รัฐบาลมาจ่าย และปล่อยคนเหล่านี้ลอยนวลไปพร้อมกับเงินก้อนใหญ่

สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อ 11 ปีก่อนหน้าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์นั้น ก็ไม่ต่างจากกลุ่มทุนการเงินชาวอเมริกัน คือ นอกจากล้มบนฟูกแล้ว ยังตบตูดจากไปอย่างไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ปล่อยให้ประชาชนรับกรรมใช้หนี้แทน แล้วยังนำ ปตท.ที่เป็นสาธารณสมบัติของชาติมาพยุงตลาดหลักทรัพย์ที่ซบเซาจากวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนั้น ที่มาจากความโลภและความไร้วินัยทางการเงินของสถาบันการเงินภาคเอกชน โดยคนเหล่านั้นหาได้มีจิตสำนึกความรับผิดชอบใดๆ ไม่

ปตท.จึงเป็นผลประโยชน์ก้อนใหญ่ที่กลุ่มทุนการเงินเอกชน และกลุ่มทุนการเมืองอย่างทักษิณหมายปอง แต่จังหวะเวลามาตกเข้าทางของรัฐบาลทักษิณพอดี

เมื่อรัฐบาลต้องการแปรรูป ปตท. ซึ่งทางคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มีมติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2544 ให้ ปตท. ซึ่งคือการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยไปดำเนินการแยกกิจการท่อก๊าซธรรมชาติ ออกจากกิจการจัดหาและจำหน่ายก่อนแปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ “โดยให้ ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ 100% ในขณะนั้นคงการถือหุ้นในกิจการนี้ร้อยละ 100”

มติดังกล่าว เป็นการมอบหมายให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือ ปตท. ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2521 มีสถานะเป็นนิติบุคคลมหาชนและเป็นองค์การของรัฐซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำกิจการของรัฐ โดยทุนทั้งหมดของ ปตท. ได้มาจากเงินและทรัพย์สินของรัฐ จึงมีมติให้ ปตท.คงความเป็นผู้ครอบครองและดูแลระบบท่อส่งก๊าซต่อไป

แต่ทักษิณต้องการแปรรูป ปตท.และเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ทันที จึงมีมติ ครม.ให้แปรรูปก่อนและจะแยกท่อก๊าซหลังการแปรรูป 1 ปี

แต่พอครบ 1 ปีรัฐมนตรีพลังงานในสมัยนั้น ก็กลับมติ โดยให้ยกเลิกมติเดิมที่ให้แยกท่อก๊าซภายใน 1 ปี และให้ ปตท.เป็นผู้ซื้อก๊าซเพียงรายเดียว (Single Buyer) อันเป็นการโอนย้ายอำนาจผูกขาดจากรัฐไปให้เอกชนซึ่งคือการยักยอกทรัพย์ของแผ่นดินครั้งที่ 1

หลังจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายร่วมกันฟ้องเพิกถอนการแปรรูป ปตท.ต่อศาลปกครองสูงสุด ในคำพิพากษาของศาลปกครองได้บรรยายอย่างชัดเจนว่า การแปรรูปโดยไม่ได้ทำตามเงื่อนไขในกฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจที่กำหนดเงื่อนเวลาในการแยกทรัพย์สินที่ได้มาโดยอำนาจมหาชนและการไม่แบ่งแยกอำนาจรัฐออกจาก ปตท.ที่เป็นบริษัทเอกชนมหาชน โดยยังมีอำนาจเหมือน ปตท.สมัยที่ยังเป็นรัฐวิสาหกิจที่ได้รับมอบอำนาจมหาชนตามกฎหมายจากสภานิติบัญญัตินั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลได้บรรยายในคำพิพากษาว่า เมื่อ ปตท.ได้เปลี่ยนสภาพจากการเป็นองค์กรมหาชนของรัฐไปเป็นองค์กรเอกชนมหาชนแล้ว จึงไม่ถือเป็นองคาพยพของรัฐอีกต่อไป แม้ว่ากระทรวงการคลังจะถือหุ้นใหญ่เกิน 51% แต่ก็ไม่ได้ทำให้ ปตท.มีสถานะกลับมาเป็นองค์กรมหาชนของรัฐอีกแต่อย่างใด

ปตท.จึงไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินที่ได้มาด้วยอำนาจมหาชน (อำนาจรัฐ) ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติเพื่อการใช้ร่วมกันของคนในชาติ และไม่สามารถใช้อำนาจรัฐได้อีก

อันที่จริงศาลมีความเห็นว่า การแปรรูป ปตท.เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เนื่องจากการแปรรูป ปตท.ผ่านไปกว่า 5 ปีแล้ว ปตท.ได้ก่อนิติสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกเป็นจำนวนมาก และมูลค่า ปตท.ในตลาดหลักทรัพย์ขณะนั้นสูงถึง 8.4 แสนล้านบาท หากเพิกถอนการแปรรูปเกรงจะก่อให้เกิดความเสียหาย

ศาลปกครองได้อ้าง พ.ร.บ.กำกับกิจการพลังงานที่ออกในสมัยรัฐบาล พล.อ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ว่าเป็นการเยียวยาความเสียหายแล้ว จึงให้ยกคำร้องการเพิกถอนการแปรรูป ปตท. แต่สั่งให้แบ่งแยกทรัพย์สินที่ได้มาโดยอำนาจมหาชนและทรัพย์สินที่มาจากการรอนสิทธิคืนให้กับรัฐ ทั้งหมดให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน อีกทั้งไม่ให้ ปตท.ใช้อำนาจรัฐอีก

แต่การคืนท่อก๊าซโดยรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานในสมัยนั้นก็คืนเฉพาะท่อก๊าซบนบกที่มีการรอนสิทธิ ส่วนท่อส่งก๊าซในทะเลไม่ได้คืนตามคำพิพากษา และไม่ได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ได้มีมติมอบหมายให้ สตง.เป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องในการคืนทรัพย์ทรัพย์สิน หากมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายเรื่องทรัพย์สิน มติ ครม.ได้ระบุให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้วินิจฉัย

แม้ สตง.จะยืนยันตลอดมาว่า ปตท.ยังไม่ได้คืนท่อส่งก๊าซในทะเลและอุปกรณ์ที่รวมกันเป็นระบบตามคำสั่งศาล แต่รัฐบาลในสมัยต่อมาก็ไม่ได้ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเข้ามาร่วมพิจารณา คงมีเพียง บมจ.ปตท.ซึ่งเป็นลูกหนี้และจำเลยไปรายงานต่อศาลว่าตนเองคืนทรัพย์สินครบแล้ว โดยไม่ได้ผ่านการตรวจสอบของ สตง.ก่อนตามมติ ครม.แต่อย่างใด

มาถึงวันนี้ นายปิยสวัสดิ์ อดีตรัฐมนตรีพลังงาน ที่สั่งให้คืนเฉพาะท่อส่งก๊าซบนบก ส่วนท่อในทะเลอ้างว่ามีคณะกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นผู้ดูแลแล้ว จึงไม่ต้องคืน

สิ่งต้องถามนายปิยสวัสดิ์ คือ เมื่ออ้างว่าท่อส่งก๊าซในทะเลไม่ต้องคืน เพราะมี กกพ.เป็นผู้กำกับดูแลแล้ว แต่ก็ต้องตอบมาให้ชัดเจนว่า แล้ว “กรรมสิทธิ์ระบบท่อส่งก๊าซเป็นของใคร?”

ระบบท่อส่งก๊าซที่เป็นสาธารณสมบัติของชาติจึงอยู่ในสภาพที่ ปตท.ครอบครอง แต่ประชาชนคัดค้านและต้องการทวงคืน

การกำกับดูแลท่อก๊าซโดย กกพ. ปรากฏว่ามติ กกพ.ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อ ปตท.ทั้งสิ้น เพราะ ปตท.ยังเป็นผู้ผูกขาดท่อก๊าซ และผูกขาดการซื้อก๊าซเจ้าเดียว แต่ประชาชนต้องเสียประโยชน์จากมติของ กกพ.คือ ต้องจ่ายค่าผ่านท่อแพงขึ้น ต้องจ่ายทั้งค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นด้วย

ตัวอย่างเช่น กกพ.ยอมให้ ปตท.สามารถนำท่อก๊าซที่โต้แย้งกรรมสิทธิ์กันระหว่างประชาชนกับ ปตท.ไปตีมูลค่าใหม่ได้ และอนุมัติให้ ปตท.สามารถเพิ่มค่าผ่านท่อได้เพราะได้มูลค่าท่อก๊าซเพิ่มขึ้นจากการตีราคาเสมือนมีการลงทุนใหม่

การใช้อำนาจรัฐของรัฐมนตรีพลังงาน และรัฐมนตรีกระทรวงการคลังอีกหลายรัฐบาลต่อมา ทำให้กรรมสิทธิ์ระบบท่อส่งก๊าซไม่ได้กลับคืนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ และประชาชน ยังคงปล่อยให้ ปตท.ถือครองทรัพย์สินของรัฐที่มีสภาพผูกขาดโดยธรรมชาติต่อไป ซึ่งขัดต่อสาระในคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด”


กำลังโหลดความคิดเห็น