ผ่าประเด็นร้อน
อาจเป็นเพราะกำลังเข้าสู่ช่วงพิสูจน์ความจริงว่า “ทำตามสัญญา” หรือ “ทำได้ตามที่พูด” หรือเปล่า จนทำให้เกิดความเครียด จึงต้องออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 97/2557 ห้ามเด็ดขาดทั้งสื่อทั้งชาวบ้าน วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ คสช.ไม่ว่าจะเป็นคณะผู้นำ รวมไปถึงคนที่เกี่ยวข้องกับ คสช.ก็ห้ามไปข้องแวะ แคะคุ้ยให้เสียหาย อ้างว่าเพื่อต้องการลดความแตกแยก ทำให้สังคมเกิดความสงบเรียบร้อย ใครฝ่าฝืนก็ให้อำนาจเจ้าหน้าที่จัดการได้ทันที โดยไม่มีการแจ้งเตือน
ที่น่าสนใจก็คือ คราวนี้เป็นการครอบคลุมไปถึงชาวบ้านในสังคมออนไลน์ที่ชอบนินทาวิจารณ์ส่งต่อแพร่กระจายข่าวกันรายวัน คราวนี้ต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ
แม้ว่าในเวลานี้ต่อมา โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พ.อ.วินธัย สุวารี ออกมาแถลงพยายามบอกให้ซอฟต์ลงไปว่าเป็นเพียงการรวมเอาคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 14 กับ 18 เข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดความกระชับขึ้นเท่านั้นเอง และสำหรับสื่อหลักไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะให้ความร่วมมือดีอยู่แล้ว
แน่นอนว่าเป็นเพียงคำพูดที่ไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าจะไม่มีปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวโดยเจ้าพนักงานที่เห็นว่าใครก็ตามที่เข้าข่ายฝ่าฝืน
แน่นอนว่าเมื่อมีคำสั่งแบบนี้ออกมาทำให้เกิดปฏิกิริยาจากภายนอกกลับเข้ามาทันที แม้ว่าจะไม่แสดงอาการได้ชัดนัก แต่รับรองว่าเริ่มมีคำถามไปถึง คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากกว่าเดิม มากกว่าที่เคยเป็นมานับตั้งแต่วันยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมเป็นต้นมาจนครบ 2 เดือนแล้ว เพราะคำสั่ง คสช.ที่ 97/57 ที่ว่านั้นเป็นคำสั่งแบบปิดปากให้เงียบสนิทอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หากเทียบกับในยุค ปว.17 ปร.42 เพราะขอบข่ายกว้างขวางและเข้มข้นกว่า
คำถามก็คือ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คสช.จะไม่ยอมให้ใครได้วิพากษ์วิจารณ์ ได้เลยหรือ และแน่นอนว่าสำหรับใครก็ตามที่มีเจตนาด่าทอ หรือมีเจตนาร้าย ก็ย่อมมีอำนาจจัดการได้อย่างเบ็ดเสร็จได้อยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องออกคำสั่งให้เสียความรู้สึก ทำให้สังคมตั้งคำถามทำไม เพราะที่ผ่านมาก็ต่องถือว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ออกแรงเชียร์กันจนออกนอกหน้าอยู่แล้ว พิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมผ่านทางโพลล์ทุกสำนักทุกสัปดาห์อยู่แล้ว
แต่ขณะเดียวกัน มีคนชมก็ต้องมีคนที่เห็นตรงข้าม คนไม่ชอบกันบ้าง ซึ่งแสดงออกด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ย้ำว่าวิจารณ์ไม่ใช่ด่า คนละเรื่องกัน แต่อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะมีเสียงด่าบ้างก็จะเป็นไรไปในเมื่อสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คณะคสช.ถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะ ใช้อำนาจทั้งบริหาร และนิติบัญญัติ รวมไปถึงตุลาการก็เรียกแบบนั้นได้ ไม่ใช่แค่เป็นผู้บัญชาการทหารบกเหมือนเช่นในอดีต ถือว่าชะตากรรมและอนาคตของคนไทยทุกคนอยู่ในมือของเขาอย่างเบ็ดเสร็จอยู่แล้ว ทำไมไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้ปริปากบ่นบ้าง ไม่ไว้วางใจบ้างเชียวหรือ ในเมื่อมีอำนาจสั่งสื่อทุกรูปแบบเสนอข่าว รายงานผลงาน หรือชี้แจงความเป็นจริงได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
หากจำกันได้ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยย้ำว่า “ยิ่งมีอำนาจมาก ผมยิ่งต้องทำตัวเล็กลง” แต่มาวันนี้เมื่อพิจารณาจากคำสั่ง คสช.ที่ 97/2557 ดูเหมือนว่าจะสวนทางกัน ทำให้ภาพของ “ลุงตู่” ที่เคยถูกมองว่า “ดุแต่ใจดี” เริ่มถูกมองไปอีกแบบโดยไม่จำเป็น เพราะหากมีเสียงวิจารณ์หรือแม้แต่เสียงด่าที่ไม่มีเหตุผลมันก็ไม่มีความหมาย หากมีความตั้งใจทำตามสัญญา เหมือนกับเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” ท่อนหนึ่งหลังมีประกาศคำสั่งรวมทั้งรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ทุกครั้งว่า“เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วความสุขจะคืนกลับมา” เพราะเวลานี้คนชอบมีมากกว่าคนไม่ชอบ ดังนั้นไม่สมควรไปเพิ่มให้ฝ่ายคนไม่ชอบโดยไม่จำเป็น
กลายเป็นว่า คสช.ซีเรียสไปเสียหมด ไม่มีอารมณ์ขันบ้างเลย ทั้งที่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดหากมีการผ่อนคลาย สร้างมุมน่ารักให้เกิดขึ้นมาบ้าง มันก็น่าจะเป็นภาพลักษณ์ที่เป็นบวก ไม่ใช่เอะอะให้ฟังคำสั่งแบบทหารแบบไม่มีข้อโต้แย้ง บางครั้งมันก็เกินไป เหมือนกับว่าเอาเข้าจริงไม่เข้าใจอารมณ์ของคนไทยว่าต้องการความสุขแบบไหนกันแน่
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติน่าจะรับรู้ถึงปฏิริกิริยาสะท้อนกลับมามากกว่าเดิมจึงมอบหมายให้ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ชี้แจงกับองค์กรสื่อถึงแนวทางและหลักการในการใช้บังคับตามคำสั่งดังกล่าวว่ามีเจตนามุ่งไปที่กลุ่มต่อต้านที่สร้างความก่อกวนขัดขวางมากกว่า นอกเหนือจากให้โฆษก คสช.ออกมาแถลงเพื่อให้บรรยากาศดูซอฟต์ลงแล้วก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม นั่นก็แสดงให้เห็นว่าอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็อดหวั่นไหวบ้างเหมือนกัน เกรงว่าจะทำให้มิตรเข้าใจผิดผลักไปเป็นฝ่ายตรงข้าม และอาจมีแนวโน้มมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง
แต่ในขณะนี้ตราบใดก็ตามถ้ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือมีคำชี้แจงให้เคลียร์ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้เกิดการขยายผลกลายเป็นแรงสะท้อนกลับมากระแทกเข้าใส่ เพราะนี่คือการสร้างเงื่อนไขโดยไม่จำเป็น!!