ผ่าประเด็นร้อน
ผ่านมากว่า 3 สัปดาห์แล้วหลังจาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำกำลังเข้ายึดอำนาจการปกครอง เข้ามาควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ ท่ามกลางการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากคนไทยส่วนใหญ่ สังเกตได้จากท่าทีการมอบดอกไม้แสดงความยินดีกับทหารทั้งที่ประจำตามจุดสำคัญ การแสดงออกผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะกับ ผู้นำ คสช.โดยตรง เนื่องจากพวกเขาเห็นว่านั่นคือการเข้ามาคลี่คลายวิกฤติของบ้านเมืองซึ่งกำลังถึงทางตัน และเสี่ยงต่อความรุนแรงระหว่างประชาชนด้วยกันเอง
แม้จะมีการออกคำสั่งบังคับอย่างเข้มงวด สั่งห้ามทำโน่นทำนี่ ห้ามพูดห้ามวิจารณ์ สั่งให้ไปรายงานตัวส่วนใหญ่ก็ให้ความร่วมมือดี ไม่หือไม่อือ ยกเว้นมีแต่พวกรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายทั้งหลายเท่านั้นที่ยังฮึดฮัดขัดขืนก็ต้องจัดการกันไปตามสถานการณ์พิเศษ
สรุปก็คือ ถึงอย่างไรคนส่วนใหญ่ยังให้การสนับสนุนให้กำลังใจให้ คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำหน้าที่ปฏิรูปทุกภาคส่วนตามที่ให้สัญญาเอาไว้ให้สำเร็จให้จงได้ เพราะเห็นว่าสิ่งที่ขอเอาไว้ใช้เวลาไม่นานนักนั่นคือ ไม่เกินหนึ่งปีหรือปีครึ่ง เท่านั้น กัดฟันรอกันได้ เนื่องจากนั่นคือเป้าหมายตรงใจกับพวกเขาอยู่แล้ว
แน่นอนว่าชาวบ้านเขาเข้าใจดีว่าเวลานี้บรรยากาศไม่ต่างจากเผด็จการเบ็ดเสร็จ อำนาจทุกอย่างรวมศูนย์อยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียงคนเดียว แต่ก็ให้โอกาส ที่เขาให้ความร่วมมือ ไม่ใช่เพราะ “กลัว” ไปเสียทั้งหมด แต่ชาวบ้านเหล่านั้นยังเห็นถึงความมุ่งมั่น ความตั้งใจ ที่เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์เสียสละและเสี่ยงภัยเข้ามาควบคุมสถานการณ์เพื่อพาบ้านเมืองไปสู่การปฏิรูปทุกภาคส่วน นำไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ตามที่ให้สัญญาไว้ และที่ผ่านมาก็มีการประกาศออกมาเป็นโรดแมปเป็นขั้นเป็นตอน และที่สำคัญใช้เวลาไม่นานนัก
อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างรอระหว่างลุ้นกันอยู่นั้น มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องมีความคิดเห็น ติติงตักเตือนกันบ้างเพื่อให้ถึงเป้าหมาย ไม่วอกแวก หรือออกนอกเส้นทาง ซึ่งแน่นอนว่าในจำนวนพวกออกมาส่งเสียงมันก็ต้องมีพวก “ประสงค์ร้าย” เครือข่ายบริวารที่เคยเกาะกินได่ประโยชน์จากระบบการเมืองเก่าออกมาผสมโรงในสื่อสมัยใหม่คือในโลกออนไลน์ แต่กลายเป็นว่า ทาง คสช.เริ่มออกมาส่งเสียงเตือนทำนองให้ “หุบปาก” กันทั้งหมด ไม่ว่าใคร อ้างว่าจะเป็นการ “กวนน้ำให้ขุ่น” ทำให้เสียบรรยากาศการปรองดอง โดยให้รอหลังจากนี้คือให้มีรัฐบาลใหม่ มีสภานิติบัญญัติ มีสภาปฏิรูปอะไรออกมาแล้วเสียก่อนแล้วค่อยวิจารณ์ คงอยู่ในราวสองถึงสามเดือนข้างหน้า
ท่าทีดังกล่าวหากจะมองแบบเข้าใจก็อาจจะไม่ผิด ต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามไม่เกิดความรู้สึกต่อต้านไหนๆ ก็ต้องการปรองดองกันแล้ว แต่ในความเป็นจริงก็คือมันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมามันแบ่งออกเป็นสองอย่าง คือ ดีกับชั่ว ฝ่ายที่ต้องการความเป็นธรรม กับการหาประโยชน์เล่นพรรคเล่นพวก สุจริตกับคอร์รัปชันเท่านั้น รักสถาบันกับทำลายสถาบันเท่านั้น ซึ่งไม่ต้องบอกก็ต้องรู้ว่าใครเป็นใครอยู่ฝ่ายไหน เชื่อว่า คสช.ก็คงเข้าใจดี ไม่ใช่นั้นก็คงไม่ตามจับ เรียกมารายงานตัวกันทุกวัน คนพวกนี้เป็นเครือข่ายของใคร ก็ต้องรู้ดีอยู่แล้ว
คิดว่าคนพวกนี้มันจะปรองดองได้ หรือคิดจะปรองดองอย่างนั้นหรือ ในทางตรงกันข้ามต้องเร่งจัดการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดโดยเร็วเสียด้วยซ้ำไป ดังนั้น การที่จะให้คนอื่น “หยุด” ไปพร้อมกับคนเลวคนที่มีเจตนาทำลายความมั่นคงไปพร้อมๆ กันโดยอ้างบรรยากาศปรองดองมันก็คงไม่ถูกหลักหรือเปล่า
ขณะเดียวกัน หากต้องการรักษาบรรยากาศที่ถูกต้องก็คือ ทางหนึ่งนอกจากต้องจัดการกับพวกที่มีเจตนาทำลายความมั่นคงให้สิ้นซากแล้ว ก็ต้องเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายช่วยกันแสดงความคิดเห็นชี้แนะในฐานะภาคประชาชนที่มาในรูปแบบของสื่อยุคใหม่ในโลกออนไลน์ เพราะต้องไม่ลืมว่ากำลังสำคัญที่ช่วยกันกำหราบตอบโต้พวกล้มเจ้า พวกต่อต้านจากระบอบทักษิณ ล้วนมาจากคนในโลกออนไลน์ทั้งสิ้น หรือแม้แต่การช่วยกับตอบโต้ประเทศตะวันตกที่พยายามแทรกแซงกิจการภายในของไทยด้วยการประณาม คสช.ต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนพวกนี้ก็เป็นเดือดเป็นแค้นรวมพลังกันตอบโต้กันอย่างทันสมัยในหลายรูปแบบ
นี่คือพลังในทางบวกของสังคมออนไลน์ อย่าไปเหมารวมหรือปิดกั้นพวกเขาไปทั้งหมด ไม่เช่นนั้นจะทำให้เสียความรู้สึก ทำให้มิตรวางเฉย และเลวร้ายกว่านั้นคือจะหันหลังให้ ที่สำคัญคนพวกนี้แหละจะมีพลังมากกว่าใครทั้งหมด หากเห็นว่าเป็นความคิดเห็นที่ผิดเพี้ยน ไม่ตรงตามข้อเท็จจริงก็สามารถใช้วิธีชี้แจงทำความเข้าใจ ซึ่งทำได้ตลอดเวลา เนื่องจากมีการสื่อสารได้ทุกช่องทางอยู่แล้ว ดังนั้นอย่าเครียดจนระแวงไปหมด เพราะบางครั้งมันเหมือนกับจุกจิก จนอาจมองน่าเคลือบแคลงไปก็ได้!!