ผ่าประเด็นร้อน
แน่นอนว่าเมื่อประเทศไทยเกิดการรัฐประหารยึดอำนาจโดยกองทัพ แทบทุกครั้งในระยะหลังมักจะมีเสียงตำหนิ ประณามตามมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในฟากตะวันตก ที่นำโดยสหรัฐอเมริกาอยู่เสมอ โดยมักอ้างในเรื่องประชาธิปไตยแบบการเลือกตั้งมากดดันบีบคั้น แต่นั่นเป็นเพียงข้ออ้างบังหน้า โดยเบื้องหลังแท้จริงล้วนมีแต่เรื่องผลประโยชน์
การรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือว่ามีปฏิกิริยาจากสหรัฐฯและประเทศในยุโรป รวมทั้งออสเตรเลีย มากเกินปกติ เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่คราวนั้น ทักษิณ ชินวัตร ถูกรัฐประหาร
แต่กลายเป็นว่าคราวนี้ คสช. กลับโดนหนักอย่างผิดสังเกต อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์เก่าๆ มันก็สามารถอธิบายได้ ซึ่งก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่าเรื่อง “ผลประโยชน์” ที่สหรัฐอเมริกาเคยได้รับในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็น “นอมินี” ของ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง
ที่ผ่านมาใครที่ติดตามความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ ชินวัตร มาอย่างใกล้ชิด ก็ย่อมรู้ดีว่าเป้าหมายทางธุรกิจสำคัญของเขาจะอยู่ที่ “ธุรกิจพลังงาน” นั่นคือเริ่มตั้งแต่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจสำคัญที่มีผลประกอบการดี โดยเฉพาะ ปตท. รวมไปถึงพยายามในการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) แต่กรณีหลังไม่สำเร็จ เนื่องจากโดนลุกฮือต่อต้านเสียก่อน อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้ว ทักษิณ ก็เคยมีปัญหากับสหรัฐฯอยู่ช่วงหนึ่ง เคยมีปัญหาถูกระงับวีซ่าเข้าประเทศอยู่ช่วงหนึ่ง แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็ฉลุย กลายเป็นว่าในระยะหลังเขาใช้สหรัฐฯนี่แหละเป็นฐานในการบ่อนทำลายประเทศของตัวเอง
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจาก “สันดาน” ของสหรัฐฯ เชื่อว่าหลายคนย่อมเข้าใจแบ็กกราวนด์ได้ดี ว่า หากจะคบกับใคร จะให้ความช่วยเหลือประเทศใดนั้นย่อมต้องมีผลประโยชน์ตอบแทนที่คุ้มค่า สำหรับไทยในยุคของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมีความหมายไม่ต่างจาก “นอมินี” เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของ ทักษิณ นั่นเอง และเป้าหมายหลักของสหรัฐฯในไทย และในภูมิภาคนี้ ก็คือ เรื่องแหล่งพลังงาน และด้านยุทธศาสตร์ในการ “ปิดล้อมจีน” ซึ่งไทยอยู่ในจุดที่สำคัญที่สุด และเมื่อ ทักษิณ ที่นำตัวเป็น “นายหน้าข้ามชาติ” มีอิทธิพลในการชี้นำรัฐบาลได้ทุกอย่าง ทุกอย่างจึง “วินวิน” กันทั้งสองฝ่าย แต่นั่นไม่ใช่ผลประโยชน์ที่ตกมาถึงคนไทยและประเทศไทย
ความเคลื่อนไหวที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลาในช่วงรัฐบาลที่แล้ว ก็คือ ข่าวคราวการลงนามในสัมปทานแหล่งพลังในอ่าวไทย ทั้งในฝั่งไทย ฝั่งพม่าด้านอันดามัน ฝั่งกัมพูชา รวมไปถึงความพยายามให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยกับกัมพูชา เพื่อผลประโยชน์ด้านพลังงาน มีเรื่องให้เคลือบแคลงอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ในด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงในภูมิภาค ที่สหรัฐฯต้องการแสดงอำนาจในการปิดล้อมจีน และที่ผ่านมารัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แอบให้สหรัฐฯเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภา และอาจรวมไปถึงสนามบินในอุดรธานีด้วย นี่คือ ผลประโยชน์ร่วมที่ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมมือกันมาอย่างแนบแน่น แต่เมื่อทุกอย่างพลิกผัน กลายเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ มันจึงเป็นที่มาของการไร้มารยาท มีท่าทีคุกคามและแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ตามมาด้วยพวกลูกสมุนที่ต้องการโชว์พาวเอาหน้าอย่างออสเตรเลีย
อย่างไรก็ดี นาทีนี้เมื่อพวกเขา (สหรัฐฯ และพันธมิตร) ไม่ให้เกียรติไทย มองคนไทยแบบลูกน้องไม่ใช่เพื่อน เราก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ และถูกต้องแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลือกที่จะวางเฉย นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ แต่ขณะเดียวกัน ก็แก้ปัญหาสะสางเรื่องภายในกันไปอย่างเงียบๆ และแน่นอนว่าในเรื่องผลประโยชน์ของประเทศย่อม “ทันกัน” อยู่แล้ว ล่าสุดเอกอัครราชทูตจีนได้เข้าพบกับ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อยืนยันถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ รวมทั้งเอกอัครราชทูตเวียดนามในกรณีเดียวกันด้วย นอกจากนี้ ยังมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมาเลเซีย ได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวย่อมมีความหมายไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ และหากประมวลเฉพาะประเทศในภูมิภาคอาเซียน ทั้งพม่าที่เป็นประธานอาเซียนในเวลานี้ หรือแม้แต่กัมพูชาของฮุนเซน ก็ยืนยันไม่แทรกแซงก้าวก่ายไทย ทำให้สรุปรวมได้ว่าเวลานี้ มีจีนและประเทศในอาเซียนที่ยังคงความสัมพันธ์ปกติ
โดยเฉพาะท่าทีจากจีน ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้สหรัฐฯต้องคิดหนัก กลายเป็นว่าไทยกำลังแนบแน่นกับฝ่ายจีน ทำให้ยุทธศาสตร์ที่จะใช้ไทยปิดล้อมจีน มีปัญหาทันที ประกอบกับการนิ่งเงียบของฝ่าย คสช. ทำนองไม่ต่อปากต่อคำ แต่ที่เห็นกลายเป็นว่ามีปฏิกิริยาจากคนไทยมากมายที่ไม่พอใจ และกำลังสร้างกระแสต่อต้านสหรัฐฯและธุรกิจ ในลักษณะไม่ถึงขั้นขับไล่รุนแรง แต่ไม่จำเป็นก็ไม่อุดหนุนไม่คบค้า และที่สำคัญอีกไม่นานจะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าสหรัฐฯได้ตัดสินใจผิดที่ให้การสนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายที่คนไทยส่วนใหญ่รังเกียจ ซึ่งอีกไม่นานก็น่าจะถึงเวลาที่เราต้องเอาคืนประเทศเหล่านี้บ้าง !!