ผ่าประเด็นร้อน
ต้องยอมรับว่า เวลานี้สถานการณ์การไม่ยอมรับรัฐบาลไทยที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เนื่องจากเป็นอำนาจที่ได้มาจากการรัฐประหารยึดอำนาจ จากตัวเลขที่มีการเปิดเผยของ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เสข วรรณเมธี ว่า มีรัฐบาลต่างประเทศที่มีท่าทีต่อต้านไทยอยู่จำนวน 39 ประเทศ ตัวเลขดังกล่าวถือว่าน่าห่วง
เพราะใน 39 ประเทศดังกล่าว ย่อมต้องมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย แคนาดา เป็นต้น ก็ต้องยอมรับว่าในจำนวนประเทศที่ต่อต้านย่อมมีรายละเอียดแยกย่อยแตกต่างกันไป บางประเทศยักษ์ใหญ่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ พวกนี้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจแอบแฝง เช่น ธุรกิจพลังงานที่ทำข้อตกลงรับสัมปทานไปจากรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มี ทักษิณ ชินวัตร เป็น “นายหน้าข้ามชาติ” ประเทศเหล่านี้ก็ต้องมี สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และอังกฤษ รวมไปถึงออสเตรเลีย เป็นหลักนั่นแหละ โดยจะอ้างหลักการประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งมีเรียกร้องบังหน้า
โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่มีผลประโยชน์มากกว่าใครกับรัฐบาลในระบอบทักษิณ ดังนั้นเมื่อสิ้นอำนาจทุกอย่างที่ทำเอาไว้ ที่เคยได้รับมั่นก็ไม่มั่นคงทันที นอกเหนือจากเรื่องพลังงานในอ่าวไทย แล้วยังมียุทธศาสตร์ความมั่นคงในภูมิภาคที่สหรัฐฯต้องการหวนกลับมาสร้างอิทธิพลอีกรอบ เพื่อคานอำนาจกับจีนที่กำลังรุกคืบเข้ามาควบคุมในทะเลจีนใต้ทั้งหมด ที่ผ่านมาในยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้แอบให้ใช้สนามบินอู่ตะเภา เพื่อภารกิจสำคัญดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย ก็มักไปทางเดียวกันในลักษณะคอหอยลูกกระเดือก
นอกเหนือจากนั้นบางประเทศที่มีท่าทีต่อต้านก็มักจะออกมาในแบบต่อต้านในเชิงหลักการ คือเมื่อประเทศใดก็ตามเกิดการรัฐประหารโดยทหารก็จะมีการแถลงคัดค้านและบางประเทศก็ลดระดับความสัมพันธ์ก็มี
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเฉพาะในประเด็นทางด้านเศรษฐกิจของไทย ที่ส่วนใหญ่ร้อยละ 70-80 ยังต้องพึ่งพาการส่งออก และประเทศดังกล่าวก็ถือว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่ มันก็น่าหนักใจเหมือนกัน นี่ยังไม่นับรวมอีก 69 ประเทศที่ประกาศเตือนพลเมืองของตนเองในการเดินทางมาเยือนประเทศไทยหลังการเกิดการรัฐประหาร แม้ว่าจะมีระดับสีเข้มแตกต่างกัน แต่มันก็ย่อมมีผลกระทบต่อรายได้การท่องเที่ยวที่แต่ละปีเราจะได้มหาศาล และขณะเดียวกัน มันก็มีผลกระทบต่อการจ้างงาน รายได้ของลูกจ้าง พนักงานในธุรกิจท่องเที่ยวอีกด้วย
แต่ถึงอย่างไรมาถึงนาทีนี้อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ก็ต้องหาทางแก้ไข จากหนักให้เป็นเบา และที่สำคัญบนศักดิ์ศรีของชาติเราด้วย เราต้องกำหนดอนาคตของเราเอง ตามแนวทางของเราที่คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ในระยะยาว เพื่อนบ้านต่างประเทศ แน่นอนว่าเราก็ย่อมแคร์ความรู้สึกเหมือนกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องเข้าใจเรา อย่ามาแส่ในเรื่องที่เป็นเรื่องภายในบ้านเรา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทที่มีผลประโยชน์แอบแฝงแล้วมาบีบบังคับมันก็ยิ่งน่าเกลียด ต้องได้รับการตอบโต้กลับไปให้สมน้ำสมเนื้อเช่นเดียวกัน
ต้องไม่ลืมว่าในสังคมโลกยุคใหม่ ยุทธศาสตร์ความมั่นคงและตลาดการค้าระหว่างประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ประเทศที่เคยเป็นนักล่าอาณานิคม อย่าง อังกฤษ สหรัฐ ฝรั่งเศส ล้วนหมดอิทธิพลลงไปมาก ฐานะทางเศรษฐกิจก็อ่อนแอ ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม โลกสมัยใหม่ก็มีประเทศเกิดใหม่ ที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ มีตลาดขนาดใหญ่ มีความสำคัญเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น จีน รัสเซีย อินเดีย รวมทั้งประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ ที่สามารถคบหาเป็นมิตรพึ่งพากันได้อย่างยุติธรรม
แม้ว่าประเทศตะวันตกจะพยายามกดดัน หรือลดระดับความสัมพันธ์จนอาจเกิดผลกระทบต่อการส่งออก การลงทุนด้านธุรกิจลงไปบ้าง แต่ขณะเดียวกัน เราต้องไม่หวั่นไหวจนต้องเสียแนวทาง ไปไม่ถึงเป้าหมาย หากเราต้องการกวาดบ้านให้สะอาดก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำไป ใครที่ไม่อยากคบหรือตั้งตนเป็นศัตรูกับเราก็ว่าไป อาจจะตอบโต้บ้างตามความเหมาะสม แต่หากเราพยายามชี้แจง และใช้ความจริง ใช้ระยะเวลาในการทำความเข้าใจ รวมทั้งใช้วิธีกระชับความสัมพันธ์กับประเทศอื่น เป็นการย้อนศรบ้างก็ได้
ดังนั้น ถ้าให้สรุปสถานการณ์ในตอนนี้ ก็ต้องเห็นภาพว่าสถานการณ์ภายในประเทศหลังการควบคุมอำนาจการบริหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชการทหารบก ก็ต้องบอกว่าภายในประเทศนั้น “เริ่มนิ่ง” แต่ที่ยังเคลื่อนไหวจนในเบื้องต้นยังถือว่าน่าหนักใจ แต่ตราบใดก็ตามหากภายในยังได้รับการสนับสนุนอย่างเหนียวแน่นและมั่นคงแบบนี้ไปอีกสักพักทุกอย่างก็จะเริ่มคลี่คลาย ซึ่งเรามีทางเลือก และเลือกคบกับประเทศที่อยากคบกับเราได้อีกมากมาย และที่สำคัญมันก็ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ ที่เป็นตัวกำหนด มันก็ยิ่งง่ายต่อการต่อรอง แต่เหนืออื่นใด คสช. อย่าวอกแวก ทำเสียของจนสูญเสียศรัทธาจากภายในเสียก่อนเท่านั้นเอง !!