บุรีรัมย์ - ไทย-กัมพูชา เห็นชอบขยายวันเปิดจุดการค้าชายแดน “ช่องสายตะกู” อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 3 วัน เริ่ม 14 มิ.ย.นี้ พร้อมผลักดันเป็นด่านแดนถาวร กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวรับเออีซี เชื่อจะทำให้บุรีรัมย์มีรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวพุ่งเป็นปีละ 2 พันล้าน
วันนี้ (16 พ.ค.) นายธงชัย ลืออดุลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยภายหลังนำคณะหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานด้านความมั่นคง เดินทางไปร่วมเจรจาหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝั่งประเทศกัมพูชา ที่จังหวัดอุดรมีชัย ว่า จากการเจรจาหารือของตัวแทนทั้ง 2 ประเทศ ต่างเห็นชอบร่วมกันที่จะขยายวันเปิดจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ เพิ่มเป็นสัปดาห์ละ 3 วัน คือ วันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น. จากก่อนหน้านี้จะเปิดเพียงสัปดาห์ละ 2 วัน คือวันศุกร์ และวันเสาร์เท่านั้น
โดยจะเริ่มเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ เพื่อให้ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศได้นำสินค้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยน และส่งออกสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ จากข้อมูลยังพบว่า ในช่วงแรกที่มีการเปิดจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู มียอดเงินสะพัดจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าเฉลี่ยสัปดาห์ละ 400,000-500,000 บาท แต่ปัจจุบันมียอดเงินสะพัดเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ละกว่า 1 ล้านบาท ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้า และประชาชนตามแนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ ที่นำสินค้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันมีรายได้ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นายธงชัย กล่าวอีกว่า หลังการขยายวันเปิดจุดผ่อนปรนดังกล่าวเพิ่มเป็น 3 วันแล้ว จะมีการติดตามประเมินผลว่ามีปัญหาอุปสรรค หรือได้รับการตอบรับอย่างไร เพื่อนำไปเป็นแนวทางการผลักดันยกระดับให้เป็นด่านการค้าชายแดนถาวร เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 เพื่อเปิดทำการค้าขายในเชิงพาณิชย์เหมือนกับจังหวัดอื่นที่ติดชายแดน
รวมทั้งเชื่อว่าหากเปิดเป็นจุดการค้าชายแดนถาวรแล้ว จะเป็นกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศ ทั้งจะกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวทั้งในจังหวัด และระดับประเทศให้กระเตื้องขึ้น ทั้งนี้ จากสถิติพบว่าปัจจุบัน จ.บุรีรัมย์ มีรายได้จากธุรกิจการท่องเที่ยวปีละ 1,400 ล้านบาท หากสามารถเปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวรได้ จะทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวพุ่งเป็นปีละ 2 พันล้านบาท
