บุรีรัมย์ - รองผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ พร้อมรองผู้ว่าฯ อุดรมีชัย กัมพูชา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับพื้นที่ทั้ง 2 ประเทศ ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมสถานที่เปิดจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนช่องสายตะกู และตั้งโต๊ะกำหนดหลักเกณฑ์ร่วมกัน เผยเห็นชอบดีเดย์เปิดเป็นทางการ 14 มิ.ย.นี้ พร้อมขยายเพิ่มเป็น 3 วัน หลัง คสช.ไฟเขียว
วันนี้ (6 มิ.ย.) นายเฉลิมพล พลวัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วย พ.อ.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองเสนาธิการกองกำลังสุรนารี รวมถึงตัวแทนฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ ในฐานะตัวแทนฝ่ายไทย ได้ร่วมกับตัวแทนฝ่ายกัมพูชา นำโดย นายวาด ปาระนิล รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของประเทศกัมพูชา
ได้ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมสถานที่ในการเปิดจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนช่องสายตะกู-จุ๊บโกกี ที่บริเวณ ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้ประชาชนได้ดำเนินชีวิตเป็นไปตามปกติ
จากการตรวจสถานที่ทางฝั่งกัมพูชา พบว่า ขณะนี้กำลังเร่งดำเนินการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวร เช่น อาคารกาสิโน อาคารสำหรับจำหน่ายสินค้าใกล้เสร็จแล้ว ขณะที่ฝั่งไทยได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารจำหน่ายสินค้าเสร็จแล้ว เหลือเพียงประตูเข้า-ออกพรมแดน ที่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
โดยสิ่งที่ทั้งสองฝั่งต่างเสนอให้เร่งดำเนินการ คือ การรื้อเพิง หรือสิ่งของออกจากตลาดเดิมเพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าย้ายไปขายยังอาคารใหม่ที่จัดเตรียมไว้ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 12 มิ.ย.นี้
พร้อมกันนี้ ตัวแทนของทั้งสองฝ่าย ยังได้มีการเจรจากำหนดหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติร่วมกันซึ่งผลการเจรจาปรากฏว่า ทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับเงื่อนไข และเห็นชอบที่จะเปิดจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนช่องสายตะกูดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 14 มิ.ย. นี้ พร้อมขยายจากเดิมสัปดาห์ละ 2 วัน เพิ่มเป็น 3 วัน คือ วันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ด้วย เพื่อให้ประชาชนได้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น
ส่วนการผ่านเข้า-ออกพรมแดนของแต่ละฝั่ง เห็นตรงกันว่าจะต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรที่ทางราชการออกให้ของแต่ละประเทศ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันตัวบุคคลถูกต้องตามกฎหมาย
นายเฉลิมพล พลวัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า จากการตรวจความพร้อมสถานที่และหารือร่วมกับฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดและพร้อมที่จะเปิดจุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกูดังกล่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 มิ.ย.ตามกำหนดการเดิมที่ได้ทำข้อตกลงร่วมกันไว้ก่อนหน้านี้
ขณะนี้เหลือเพียงการรื้อตลาดเดิม และก่อสร้างอาคารบางส่วนเท่านั้น ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ จากนั้นจะเดินทางมาดูความเรียบร้อยร่วมกันอีกครั้ง ในวันที่ 12 มิ.ย. ก่อนทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 มิ.ย.
นายเฉลิมพล กล่าวต่อว่า ส่วนในอนาคตจะมีการเปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวรเหมือนกับจังหวัดอื่นๆ ที่อยู่ติดแนวชายแดนหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งผลตอบรับจากการค้าขาย เรื่องความมั่นคง และความเห็นชอบจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เชื่อว่าหากมีการเปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวรได้จะเป็นผลดีต่อทั้งสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์อันดีต่อกันที่จะแน่นแฟ้นมากขึ้น
รวมถึงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชนตามแนวชายแดนให้ดีขึ้นตามไปด้วย เพราะที่ผ่านมา แต่ละสัปดาห์มีเงินสะพัดจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญยังจะส่งผลให้การท่องเที่ยวเส้นทางอารยธรรมขอมระหว่างไทยกับกัมพูชา มีแนวโน้มที่ดีด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นการรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ที่จะเริ่มขึ้นในปี 2558 นี้อีกด้วย