ASTVผู้จัดการรายวัน - คสช.ถกผู้บริหารระดับสูงกระทรวงการคลัง ผงะผลตรวจสอบบัญชีพบตัวเลขขาดทุนจำนำข้าวพุ่งสูง 5 แสนล้านบาท ส่วนตัวเลขข้าวสารหายจากสต๊อกอีก 2.8 ล้านตัน ตรวจสอบแล้วไม่มีข้าวอยู่จริง เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชี ซ้ำมีข่าวเสื่อมคุณภาพรอตีราคาอีก คาดยอดขาดทุนจริงเกิน 5 แสนล้านแน่
วันนี้ (26 พ.ค.) พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารกระทรวงการคลัง และผู้บริหารสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 ชั้น 4 ว่า คสช.ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป โดยเน้นด้านการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากและชุมชนผ่านทางการจ่ายเงินให้ชาวนาโดยเร็วที่สุดจากจำนวนที่ค้างทั้งสิ้น 9.2 หมื่นล้านบาท โดยจะใช้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ส่วนหนึ่งและใช้เงินกู้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งน่าจะช่วยดันให้จีดีพีขยายตัวได้อีก 0.2% หรืออย่างน้อยอยู่ที่ 2.2% รวมทั้งให้เข้าไปสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้ชาวนาสำหรับการปลูกข้าวฤดูการผลิตใหม่ที่จะถึงนี้ด้วยทั้งปุ๋ย พันธุ์ข้าวและอื่นๆ
นอกจากนั้น อีกเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน คือ การผลักดันการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2557 ที่ค้างอยู่ออกไปโดยเร็ว และเริ่มให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อเริ่มกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2558 ทันทีเพื่อให้มีผลบังคับใช้ทันวันที่ 1 ต.ค. 2557 นี้ โดยเบื้องต้นจะมีวงเงินไม่มากนักเพื่อไม่ให้ผูกพันในระยะยาว โดยให้เน้นที่โครงการจำเป็นด้านโครงสร้างพื้นฐานและรักษาวินัยการเงินการคลังเป็นหลัก
ด้านนายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธ.ก.ส.กล่าวว่า ธ.ก.ส.พร้อมจ่ายเงินให้กับเกษตรกรที่รอเงินรับจำนำข้าวกว่า 800,000 ราย วงเงินกว่า 90,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยจะทยอยจ่ายเงินดังกล่าวตามคิวใบประทวนที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้วตามลำดับก่อนหลังอย่างเคร่งครัดโปร่งใสตั้งแต่วันนี้ และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายใน 1 เดือนนับจากนี้ ซึ่งเงินที่จะนำมาใช้หมุนเวียนจะมาจาก เงินกองทุนช่วยเหลือชาวนา และเงินกู้ยืมที่กระทรวงการคลังจัดหามาให้ในวงเงินไม่เกิน 92,431 ล้านบาท ทั้งนี้ ในระหว่างที่รอการกู้เงิน ธ.ก.ส.จะสำรองจ่ายไปก่อนในวงเงินไม่เกิน 40,000 ล้านบาท เพื่อให้เงินถึงมือเกษตรกรอย่างรวดเร็ว ซึ่งการดำเนินโครงการดังกล่าวกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ค้ำประกันและรับผิดชอบชำระคืนต้นเงิน ดอกเบี้ยตลอดจนค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นรวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานทั้งหมด
สำหรับผลการดำเนินงาน โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ณ วันที่ 23 พ.ค. 2557 มียอดใบประทวนรวมทั้งสิ้น 1,671,720 ราย ข้าวเปลือก 11.64 ล้านตัน จำนวนเงิน 192,950 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส.ได้ทยอยจ่ายเงินไปแล้ว ณ ปัจจุบันจำนวน 833,182 ราย ปริมาณข้าวเปลือก 6.29 ล้านตัน จำนวนเงิน 103,019 ล้านบาท จากยอดจัดสรรทั้งหมด 105,500 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินงบประมาณและเงินจากการระบายข้าว ของกระทรวงพาณิชย์ 75,000 ล้านบาท เงินกองทุนช่วยเหลือชาวนา 10,500 ล้านบาท และงบกลางที่รัฐบาลยืมจาก กกต.อีก 20,000 ล้านบาท
ผงะ! ขาดทุนบักโกรก 5 แสนล้าน
มีรายงานว่า คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งมีนายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้ตรวจสอบผลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวในช่วง 2 ปีกว่า (2554/2555, 2555/2556, 2556/2557) พบว่ามีผลขาดทุนสูงขึ้นกว่าเท่าตัว หรือขาดทุนกว่า 5 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาขายต่ำกว่าราคาต้นทุน 1.5 หมื่นบาทต่อตัน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้คำนวณต้นทุนข้าวเปลือกที่แปรสภาพเป็นข้าวสารไว้เฉลี่ยที่ราคา 2.3 หมื่นบาทต่อตัน ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวไปที่ราคา 1.2-1.4 หมื่นบาทต่อตัน และเมื่อเป็นรัฐบาลรักษาการได้ขายข้าวไปด้วยราคาเพียงตันละ 8 พันบาทเท่านั่น ทำให้มีส่วนต่างราคาขายกับราคาต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งทำให้โครงการรับจำนำข้าวขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 5 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบว่าข้าวสารหายไปจากสต๊อกอีกราว 2.8 ล้านตันนั้น ปรากฏว่าในสต๊อกไม่ได้มีข้าวอยู่จริง เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น และยังพบว่ามีข้าวเสื่อมคุณภาพอีกจำนวนมากที่ยังรอให้เซอร์เวเยอร์ตีราคา ซึ่งหากมีการตีราคาแล้ว คาดว่าจะทำให้ผลขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวจะเพิ่มมากกว่า 5 แสนล้านบาท