รอง หน.ปชป.ไม่มั่นใจ รมต.เฝ้าเก้าอี้นายกฯ - ว่าที่ ปธ.วุฒิฯ คุยกันได้ประโยชน์ เหตุร่วมวงลดกดดัน แนะลดธงตัวเองยึดประโยชน์ชาติ ชี้มีมุ่งใช้ความรุนแรงสกัด กปปส. ขู่ วุฒิฯ ปลุกสังคมประณาม “ชวนนท์” ข้องใจ กปปส.เจอป่วน นปช.กลับสงบ เชื่อคนรัฐรู้เห็น ส่งสัญญาณป่วนหนัก หลัง ตร.จับอาวุธได้ แต่ รมต.ลงไปเคลียร์ ร้องทหารจัดการ ขอแดงเลิกเป็นเหยื่อมาบังหน้าใช้รุนแรงแบบปี 53
วันนี้ (18 พ.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการพบกันระหว่างนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี และนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ว่าที่ประธาน ส.ว.ในวันพรุ่งนี้ (19 พ.ค) ว่า ไม่มั่นใจจะเกิดประโยชน์หรือไม่ เพราะนายนิวัฒน์ธำรงพยายามหลีกเลี่ยงที่จนถูกกดดันจากสังคมมากขึ้น ทำให้ยอมพบกับนายสุรชัย แต่ก็หวังว่าท่าทีของทั้งสองฝ่ายและความจริงใจที่จะดำเนินการแก้วิกฤตประเทศร่วมกันจะทำให้การพบกันครั้งนี้มีประโยชน์
ทั้งนี้ ตนขอฝากถึงการหารือครั้งนี้ 3 ข้อ คือ 1. ไม่ควรเป็นการพบกันแบบขอไปทีเพียงให้ได้ชื่อว่าพบกันแล้ว แล้วจบกันไปโดยไม่ใช้โอกาสนี้แก้วิกฤตประเทศ 2. ทั้งสองฝ่ายไม่ควรมีธงในใจ แต่ต้องพยายามลดธงของตัวเองแสวงหาจุดร่วมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะถ้ายังมีธงในใจจะทำให้การพบกันไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใดทั้งสิ้น และ 3. ควรยึดถือประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือคณะบุคคลใดคณะบุคคลหนึ่งเท่านั้น
“รัฐบาลไม่ควรรักษาอำนาจจนทำให้ประเทศเสียหายเพิ่มขึ้น เพราะปัญหาจะยุติได้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองยอมที่จะสละอำนาจเพื่อคลี่คลายวิกฤต จึงขอให้เลือกคิดที่จะดันให้มีการเลือกตั้ง สละอำนาจเพื่อหยุดวิกฤตบ้านเมือง แต่ถ้ายังเดินหน้ารักษาอำนาจวิกฤตประเทศมีแนวโน้มจะรุนแรงกว่าในปัจจุบันซึ่งสังคมไทยไม่อยากเห็น ผู้ที่มีอำนาจจึงมีส่วนสำคัญที่จะต้องแก้วิกฤตประเทศ” นายองอาจกล่าว
นายองอาจกล่าวถึงการประกาศของ กปปส.เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวจากนี้ไปถึงวันที่ 26 พ.ค. 57 ว่าจะส่งผลให้มีความพยายามที่จะขัดขวางหรือยุติการเคลื่อนไหวของประชาชน โดยกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้เพื่อทำลายการเคลื่อนไหวของประชาชน คือ การใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ เพราะนับตั้งแต่มีการชุมนุมพบว่ามีการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลคือ ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 56 ถึงปัจจุบันมีผู้บาดเจ็บ 782 คน เสียชีวิต 25 คน และมีผู้รักษาตัวในโรงพยาบาลอีก 13 คน ในขณะที่ผู้มีอำนาจรัฐไม่ใส่ใจที่จะระงับยับยั้งหรือแก้ปัญหา ทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า มี 3 สาเหตุที่ทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องคือ 1. เป็นความพยายามสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนเพื่อไม่ให้เข้าร่วมชุมนุมของกลุ่ม กปปส. และกลุ่มอื่นๆ 2. เพื่อข่มขวัญแกนนำ การ์ด กปปส. ทำให้มีการเพิ่มดีกรีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ 3. เป็นการส่งสัญญาณกดดันการทำหน้าที่ของ ส.ว. ที่จะให้ได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ สิ่งทีสังคมไทยควรจะตระหนักคือ ต้องมีส่วนในการคัดค้าน ประณามผู้ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม
ส่วนนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนขอตั้งข้อสังเกตถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ที่เกิดอย่างต่อเนื่อง แตกต่างจากการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ที่ถนนอักษะที่เป็นไปอย่างเรียบร้อย ในขณะที่มวลชนอีกกลุ่มถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว โดยรัฐบาล และ ศอ.รส. ไม่เคยให้ความสนใจที่จะสอบสวนเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษ จึงพูดได้ว่าปฏิบัติการก่อเหตุดังกล่าวต้องมีผู้มีอำนาจรัฐรู้เห็นเป็นใจ ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าสัปดาห์ที่จะถึงนี้เป็นสัปดาห์อันตราย โดยล่าสุดมีการพบอาวุธสงคราม ซึ่งพบว่ารถที่ใช้ขนถ่ายอาวุธเป็นของนักการเมืองใหญ่ในจังหวัดดังกล่าว จากนั้นยังมีคนระดับรัฐมนตรีไปเคลียร์เพื่อไม่ให้มีการดำเนินคดี แต่ตำรวจในพื้นที่ไม่ยอมและมีการตรวจสอบร่วมกับ กอ.รมน.
“ผมขอตั้งข้อสังเกตว่าอาวุธดังกล่าวตั้งใจที่จะนำมาก่อเหตุใน กทม.หรือไม่ เพราะมีการย้ายจากรถที่ติดป้ายทะเบียนจังหวัดเชียงราย มาขนถ่ายที่นครนายก จึงขอเรียกร้องไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันททร์โอชา ผบ.ทบ. สกัดกั้นการขนอาวุธมาโจมตีคนไทยด้วยกัน เพราะทหารน่าจะรู้ดีที่สุดว่ามีอะไรเกิดขึ้น ใครขนอาวุธ ใครบงการอยู่เบื้องหลัง จึงขอให้ดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนอย่างเต็มที่ และรัฐบาลโดยเฉพาะนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ควรปลดล็อกตัวเอง อย่าสร้างความขัดแย้งเพิ่มเติมในสังคมไทย และเราให้กำลังใจ ส.ว. ในการแสวงจุดร่วมเพื่อหาคำตอบให้ประเทศภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ ขอให้ดำเนินการโดยอิสระ ไม่อยู่ภายใต้แรงกดดันของฝ่ายใด เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับแต่ต้องทำโดยเร็ว เพราะไม่ควรปล่อยให้ประชาชนเสี่ยงตายแทนนักการเมืองอีกต่อไป”
นายชวนนท์ยังวิงวอนไปถึงคนเสื้อแดงว่าจะหลงกลแกนนำที่ระดมคนเข้ามาปกป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น แต่หลังฉากคือการขนอาวุธสงครามเข้ามาก่อเหตุ ซึ่งอาจมีการสร้างสถานการณ์ถึงขั้นฆ่าคนเสื้อแดงเหมือนที่เคยเกิดมาแล้วในปี 53 จึงขอให้คนเสื้อแดงกลับถิ่นฐานอย่าตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้อีกต่อไป นอกจากนี้ ขอให้สังคมช่วยกันเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศไทย และให้มีการแก้ปัญหาประเทศอย่างเหมาะสมเพื่อลดการเผชิญหน้า ยุติความสูญเสีย