ผ่าประเด็นร้อน
สังเกตหรือไม่ว่าเวลานี้ทั้งพรรคเพื่อไทย ทั้งคณะรัฐมนตรีที่เหลืออยู่ไม่กี่หน่อ รวมทั้งมวลชนคนเสื้อแดงต่างออกมาดิ้นรนกันสุดฤทธิ์สุดเดช ดันให้เกิดการเลือกตั้งตามกำหนดเดิมที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนที่จะตกเก้าอี้นายกฯ รักษาการเคยไปกดดันให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดการเลือกตั้งวันที่ 20 กรกฎาคมให้ได้ ขณะเดียวกันก็ขัดขวางไม่ให้มีการเสนอชื่อนายกฯ คนกลาง หรือนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 7 อย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ดี ยิ่งออกอาการดังกล่าวมากเท่าใดนั่นก็แสดงให้เห็นเป้าหมายและความต้องการแบบนั้นมันเริ่มห่างไกลออกไปจนเบาหวิวเต็มทีแล้ว
เพราะขนาดทำถึงขนาดส่งบรรดาลิ่วล้อปลายแถวไปแจ้งความดำเนินคดีข้อหากบฏต่อ สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่ประธานวุฒิสภา ต่อศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ให้ ธาริต เพ็งดิษฐ์ ออกมารับเรื่อง ขณะที่บรรดาแกนนำเสื้อแดงก็ประกาศว่าจะยกนะดับการชุมนุมขึ้นไปอีก ซึ่งเวลานี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะยกระดับเป็นแบบไหน แต่เอาเป็นว่าคนพวกนี้ไม่ยอมให้มีนายกฯตามมาตรา 7 หรือมีนายกฯ คนกลางเกิดขึ้นเป็นอันขาด
แต่ก่อนที่จะพูดถึงกันว่าในบั้นปลายแล้วจะเป็นไปได้ตามที่ฝันได้แค่ไหน ก่อนอื่นก็ต้องมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ต้องออกมาประสานเสียงยืนยันกันแบบนี้ คำตอบก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่าต้องการรักษาอำนาจเอาไว้ให้ได้ต่อไป โดยอ้างประชาธิปไตยแต่เปลือกนั่นคือ “เลือกตั้ง” เพราะมั่นใจว่าด้วยประชานิยมเสพติด ด้วยกลไกข้าราชการ ด้วยมวลชน ด้วยเงินที่ทุ่มซื้อได้ไม่อั้นจะทำให้ครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งกลับมาอีก
ในสถานการณ์ความเป็นจริงเวลานี้ ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนหลายคนตั้งตัวไม่ทัน โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์ที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการ จากคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญกรณีแต่งตั้งโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติโดยมิชอบ ตามมาด้วยการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวแล้วส่งเรื่องให้วุฒิสภาถอดถอน ซึ่งทั้งสองกรณีดังกล่าวเธอต้องพ้นจากหน้าที่ (นายกฯ รักษาการ) หมายความว่าจากเดิมที่มีอำนาจจำกัดอยู่แล้วในฐานะรักษาการ แต่เมื่อมาพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวอีกมันก็กลายเป็นสภาพสูญญากาศในทันที เพราะคนที่พยายามแต่งตั้งเข้ามาทำการแทน อย่าง นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล เป็นแค่รักษาการรองนายกฯ ไม่อาจรักษาการนายกฯ ได้ ขณะเดียวกันจะตั้งใหม่ก็ไม่ได้เพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎร
ที่สำคัญอำนาจทูลเกล้าฯ ของนิวัฒน์ธำรงเวลานี้ ถือว่าทำไม่ได้ สังเกตได้จากความไม่แน่ใจของ กกต.ที่ต้องสอบถามความชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร และเลื่อนการหารือออกไปเรื่อยๆ ล่าสุดมีการอ้างจากฝ่ายนิวัฒน์ธำรงว่าได้นัดหมายกันในวันที่ 15 พฤษภาคม นี่คือความไม่ชัวร์ที่เห็นชัดขึ้น
นอกจากนี้ คราวนี้คงเป็นบทเรียนราคาแพงอีก หากยังดันทุรังเลือกตั้งกันดุ่ยๆเหมือนเคย เพราะหากการเลือกเป็นโมฆะขึ้นมาอีก และละลายงบประมาณอีกหลายพันล้านบาท ก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบเหมือนกับที่เกิดขึ้นหลังจากที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้แสดงความรับผิดชอบงบประมาณเลือกตั้งที่สูญเปล่าจำนวนกว่า 3,800 ล้านบาท พร้อมกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คราวนี้มีปัญหาซับซ้อนกว่าครั้งก่อน ทั้งในเรื่องของคนที่จะเสนอทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งไม่มีอำนาจตามกฎหมาย และสองเลือกตั้งไปแล้วอาจโมฆะซ้ำรอยอีก
สรุปง่ายๆ ก็คือ เส้นทางเลือกตั้งตามเป้าหมายของ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายตีบตันจนแทบเป็นไปไม่ได้แล้ว
เมื่อทางนั้นเป็นไม่ได้ก็ต้องหันไปอีกทาง นั่นคือทางที่ “สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย” ว่าที่ประธานวุฒิสภากำลังนำเดินอยู่ในเวลานี้กำลังระดมความคิดเห็นจาก (แทบ) ทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันหาทางออกให้กับบ้านเมือง เริ่มจากการระดมความเห็นจากสมาชิกวุฒิสภาก่อน เมื่อได้แนวทางก็ไปหารือกับคนภายนอก องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ศาล สถาบันวิชาการ องค์กรธุรกิจเอกชน ฯลฯ ล่าสุดมีการหารือกับตัวแทนเหล่านั้นที่รัฐสภา โดยกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องรู้เรื่องภายในวันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม หลักการและวิธีการแบบนี้เท่าที่เห็นก็คือการปฏิเสธการมีอยู่ของรัฐบาลและเครือข่ายทักษิณ ที่ยังดันทุรังให้เกิดการเลือกตั้งที่ไร้ประโยชน์ เพราะแทบทุกองค์กรหลักต่างเข้าร่วมกันหาทางออก แม้ว่ามีบางหน่วยงานเช่น ศาลปกครองสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญจะไม่เข้าร่วม แต่อย่างน้อยมีตัวแทนจากศาลฎีกาเข้ามาร่วมก็ถือว่าโอเค ส่วนที่ นิวัฒน์ธำรง ไม่มาก็แน่นอนอยู่แล้วว่าพวกนี้เขาจะเลือกตั้งก็ต้องปล่อยให้โดดเดี่ยวตัวเองต่อไป
ดังนั้น แม้ว่านาทีนี้จะยังคาดหวังอะไรไม่ได้เต็มร้อย หรือยังคาดหวังอะไรไม่ได้มากกับผลสรุปที่จะออกมาว่าจะเป็นแบบไหน หรืออาจสรุปอะไรไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยก็มีแนวโน้มที่ดีที่ทุกฝ่ายตื่นตัวออกมาคิดหาทางออกให้บ้านเมือง และที่สำคัญได้เห็นแนวโน้มของการปฏิรูปประเทศได้เกิดขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว
สังคมเริ่มรับรู้แล้วว่า นักการเมืองคือตัวปัญหา ต้องกำจัดและกีดกันออกไปก่อน!!