ปชป.ประณามแถลงการณ์ ศอ.รส. หลังจนตรอก กระทำการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เสนอให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย เพื่อปฎิเสธคำวินิจฉัยศาล รธน.ที่กระทำภายใต้พระปรมาภิไธย เรียกร้ององค์กรอิสระ เดินหน้ารักษากฎหมาย เล็งเอาผิด "เฉลิม-ปึ้ง-ชัยเกษม-ธาริต" ข้อหากบฏ แนะประชาชนแจ้งความทั่วประเทศ "ราเมศ" ไล่ "ชัยเกษม" คืนปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต เลิกสอนเนติฯ ประกาศเผาทุกตำราที่รมว.ยุติธรรมเขียน เหตุบิดเบือนกฎหมายรับใช้ "นช.แม้ว" "จุฤทธิ์" หน่วย พท.ชักศึกเข้าบ้าน ดึงไอพียูแทรกแซงองค์กร ให้ร้ายองค์กรอิสระ กระบวนการยุติธรรมไทย
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแถลงการณ์ของ ศอ.รส.ว่า ทำให้เห็นถึงวิกฤตเศรษฐกิจ การเมืองในปัจจุบัน เพราะฝ่ายบริหารไม่ยอมรับระบบการตรวจสอบ ถ่วงดุล เมื่อถึงภาวะจนตรอกก็คิดสั้นถึงขนาดคิดกระทำการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทด้วยการเสนอให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย เพื่อปฏิเสธคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่กระทำภายใต้พระปรมาภิไธย ชี้ถึงการหมดความชอบธรรมของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งนี้เชื่อว่าหากรัฐบาลไม่สามารถใช้อำนาจหรือบิดเบือนกฎหมายได้ก็จะใช้มวลชนมาสร้างความรุนแรง ในขณะที่ ศอ.รส.ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความมั่นคงกลับออกแถลงการณ์กระทำตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์เสียเอง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แถลงการณ์ดังกล่าวพาดพิงถึงหลายองค์กร คือ 1 .ป.ป.ช. พรรคจึงขอให้ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาบนผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง เพื่อใช้เป็นเกราะกำบังป้องกันไม่ให้ถูกกล่าวหา เพราะในขณะนี้มีการบิดเบือนว่า ตัดสินคดีสองมาตรฐานระหว่างพรรคฝ่ายค้านกับรัฐบาลนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะที่ผ่านมา ป.ป.ช.เคยชี้มูลให้ถอดถอนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ กรณีมีคำสั่งแต่งตั้ง ส.ส.ไปช่วยงานที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยเห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญมาแล้ว
2. พรรคขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยึดตัวบทกฎหมายเป็นทางออกก เพราะคำร้องให้วินิจฉัยสถานภาพของนายกรัฐมนตรี ศาลปกครองได้ตัดสินไปแล้ว เหลือเพียงการชี้มูลการกระทำต้องห้ามตาม มาตรา 268 ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามกรอบของรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีการทำเกินอำนาจตามที่ ศอ.รส.กล่าวหา
3 . ศอ.รส.ออกแถลงการณ์ข่มขู่ กกต.ให้กำหนดวันเลือกตั้งโดยเร็วเพื่อนำความสงบสู่สังคม ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เนื่องจากหากยังไม่มีการหารือถึงช่องว่างและปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสงบและยุติธรรมการเลือกตั้งก็เกิดยาก ดังนั้นหากจะกำหนดแค่วันเลือกตั้งโดยไม่มีการแก้ปัญหาจะไม่มีประโยชน์จึงขอให้ กกต. หารือเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้งให้ชัดเจนว่าต้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หาเสียงได้ทั่วประเทศ พรรคยินดีให้ความร่วมมือ
4. ในแถลงการณ์ของ ศอ.รส.ที่พาดพิงถึงองค์กร หน่วยราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ ถือเป็นการดูหมิ่นข้าราชการประจำจากฝ่ายการเมือง เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รักษาการ รมว.แรงงานและ ผอ.ศอ.รส. ขู่จะย้ายปลัดกระทรวงสาธารณสุข เมื่อมีอำนาจเต็มหรือกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกและรมว.ต่างประเทศดูถูกข้าราชการประจำหลายครั้ง จึงขอเรียกร้องให้ข้าราชการปฏิเสธการใช้อำนาจที่ผิด และขอให้ประชาชนมั่นคงกับสถานการณ์โดยยึดหลักประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้งเพื่อร่วมต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ฉ้อฉลโดยคนกลุ่มเดียวที่พยายามทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย เพื่อรักษาอำนาจรัฐไว้กับตัวต่อไป
นายชวนนท์ กล่าวถึงการพิจารณาข้อกฎหมายเพื่อดำเนินคดีกับ ศอ.รส.ว่า ฝ่ายการเมืองที่เข้าข่ายกระทำความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 113 ข้อหากบฏ คือ นายสุรพงษ์ ร.ต.อ.เฉลิม นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม ส่วนข้าราชการเบื้องต้นมีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ที่อาจเข้าข่ายทำผิด 157 ด้วย ทั้งนี้เห็นว่าแถลงการณ์ของ ศอ.รส. ซึ่งเป็นองค์กรควบคุมทหาร ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐในการบังคับใช้กฎหมาย แต่กลับมีการแสดงเจตนาล้มล้างอำนาจศาลหรือปฏิเสธอำนาจศาลก็ถือว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญา ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ทั่วประเทศ
ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง คณะกรรมการกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวประณามแถลงการณ์ของ ศอ.รส.ว่าทำลายระบบนิติรัฐของบ้านเมือง มุ่งเป้าทำลายล้างโดยไม่คำนึงถึงหลักนิติรัฐ นิติธรรม แม้แต่คำขึ้นต้นว่าเคารพองค์กรต่างๆ ก็บิดเบือน โกหก เพราะรัฐบาลไม่เคยเคารพองค์กรอิสระ มีพฤติกรรมปฏิเสธการตรวจสอบมาโดยตลอด นอกจากนี้หากเห็นว่ามีการกระทำที่ไม่สุจริตก็สามารถร้องคัดค้านได้ตามกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านาพรรคเพื่อไทยก็มีการใช้ช่องทางนี้ในคดีทุจริตจำนำข้าวแต่ ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้นายวิชา มหาคุณ ทำหน้าที่ต่อเนื่องจากไม่ปรากฏว่ามีพฤติกรรมตามคำร้องคัดค้าน แถลงการณ์ ศอ.รส.จึงเป็นความพยายามบิดเบือนสร้างกระแสให้สังคมสับสน และเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ ศอ.รส.ไม่ได้ เนื่องจาก ศอ.รส.เกิดจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์และรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์มาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ
ส่วนที่กล่าวหาศาลรัฐธรรมนูญว่าจะวินิจฉัยเกินกว่ารัฐธรรมนูญกำหนดในฐานะนักกฎหมายตนยืนยันว่า ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นองค์กรตรวจสอบถ่วงดุลย์จะตัดสินนอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไม่ได้ และยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญ มีสิทธิวินิจฉัยได้ทุกกรณี ส่วนจะผิดหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะคดียังไม่ได้ตัดสินและมีกระบวนการตรวจสอบการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว
นายราเมศ กล่าวถึง ข้อเสนอของ ศอ.รส.ที่ให้ขอพระบรมราชวินิจฉัยให้ ครม.รักษาการต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ นายชัยเกษม นิติสิริ รักษาการ รมว.ยุติธรรม ว่า ขอให้ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยกลับไปคิดว่าบังควรหรือไม่ โดยเฉพาะคนที่เสนอขอให้คืนปริญญานิติศาสตร์บัณฑิตและประกาศนียบัตรเนติบัณฑิตไทย เนื่องจากทำลายระบบกฎหมายโดยสิ้นเชิง เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นสิ้นสุด ผูกพันทุกองค์กร แต่ยังมีความพยายามบิดเบือนว่าศาลจะวินิจฉัยเกินขอบเขตทั้งที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยแต่อย่างใด ชี้ให้เห็นว่ามีการละเมิดอำนาจศาล ส่อให้เห็นว่ามีเจตนาทำลาย ทำให้ตนเสียใจที่เคยเรียนกฎหมายกับนายชัยเกษม ที่รับใช้การเมืองโดยบิดเบือนไม่ยอมรับอำนาจศาลและการตรวจสอบ จึงขอแนะนำให้นายชัยเกษม ลาออกจากการเป็นอาจารย์สอนเนติบัณฑิต อีกทั้งตนจะเผาตำราของนายชัยเกษมทุกเล่ม โดยถือว่าเป็นสิทธิ์ของลูกศิษย์ที่จะไม่ยอมรับอาจารย์ที่บิดเบือนกฎหมายเพื่อรับใช้ระบอบทักษิณอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ด้านนายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีคณะทำงานด้านต่างประเทศพรรคเพื่อไทย ทำหนังสือถึงสหภาพรัฐสภา (ไอพียู) เข้ามาสอบสวนการทำงานขององค์กรอิสระภายในประเทศไทยว่า เป็นการชักศึกเข้าบ้านอีกครั้งของพรรคเพื่อไทยที่กล้าพูดเอาแต่ได้ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ประเทศชาติ โดยมีการเสนอ 3 ข้อต่อไอพียูคือ กรณี 308 สมาชิกรัฐสภาที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาถอดถอนใน ป.ป.ช.เป็นการพูดความจริงครึ่งเดียว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า สมาชิกรัฐสภาทั้งหมดกระทำผิดในการแก้กฎหมายมีการกดบัตรแทนกัน พรรคจึงยื่นต่อ ป.ป.ช.เพื่อถอดถอนตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ โดย ป.ป.ช.มีหน้าที่ชี้มูลความผิด ส่วนกระบวนการถอดถอนเป็นเรื่องของวุฒิสภา
2.กรณีที่ระบุว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ โดนกลั่นแกล้างจากระบวนการยุติธรรมแบบสองมาตรฐานก็ไม่เป็นความจริง เพราะหากศาลไม่ยุติธรรมคนทั้งสองคงต้องอยู่ในคุกไม่สามารถออกมาปลุกระดมคนเสื้อแดงได้ และนายณัฐวุฒิ คงไม่ได้เป็นรัฐมนตรีช่วย จึงยืนยันว่ากระบวนการยุติธรรมไทยเชื่อถือได้
3. กรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กำลังจะถูก ป.ป.ช.ชี้มูลคดีทุจริตจำนำข้าวก็เป็นโครงการที่มีการทุจริตทำให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณกว่า 7 แสนล้านบาท และคดีนี้ก็ไม่ได้มีการเร่งรัดตามที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยิบิดเบือนกล่าวหา เพราะ ป.ป.ช.ตรวจสอบมาเกือบสองปีแล้วพบความเสียหายในโครงการจำนวนมาก และมีชาวนาฆ่าตัวตายมากที่สุด จึงขอฝากไปถึงพรรคเพื่อไทยว่า แทนที่จะเรียกร้องในเรื่องไร้สาระเหล่านี้ ขอให้เรียกร้องรัฐบาลให้นำเงินไปคืนชาวนาที่จำนำข้าวไปกว่า 8 เดือนแล้วแต่ยังไม่ได้รับเงิน และตรวจสอบว่าเงินที่หายไปตกอยู่ในมือใครจะดีกว่า
"พฤติกรรมของพรรคเพื่อไทย เป็นการทำลายชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศไทยเพราะไม่ได้รับความเชื่อถือจากสังคมไทยแล้วจึงต้องไปอาศัยองค์กรนานาชาติมาบีบประเทศไทย จึงขอแนะนำว่าอย่าปล่อยไก่ในนานาชาติซ้ำรอยกับ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการ รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ ที่พยายามดำเนินการดังกล่าวแต่ไม่ได้ผล"