ปชป.ปูดแก๊งแดงชุมนุมทำแกนนำอู้ฟู้ จากค่าจ้างม็อบ เรียกร้องเจ้าหน้าที่ตั้งด่านสกัดต่างด้าวร่วมชุมนุม เชื่อหลังสงกรานต์เดือด หาก “ยิ่งลักษณ์” ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ จวก พท.ออกแถลงการณ์ดิสเครดิตศาล รธน.ไล่อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด แฉแดงแบ่งกลุ่มถล่ม วางกองกำลังคิดบัญชีคนเป่านกหวีด จี้นายกฯ
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และ นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าววันนี้ (5 เม.ย.) โดยนายองอาจ กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช.ในวันเดียวกันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการนำไปสู่เมษาเดือด โดยเชื่อว่าหลังจากเทศกาลสงกรานต์ ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีการโยกนายถวิล เปลี่ยนศรี ไม่เป็นธรรม ซึ่งจะทำให้เพิ่มดีกรีความรุนแรงดุเดือดมากขึ้น แต่จุดเดือดนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ขึ้นกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หากยังมีสำนึกในความเป็นนายกรัฐมนตรี ควรเร่งระงับไม่ให้คนเสื้อแดงกระทำการใดๆ หลังสงกรานต์ ไม่ใช่ปล่อยให้สถานการณ์พาไป
ขณะที่ นายชวนนท์ กล่าวว่า การชุมนุมของ นปช.วันที่ 5 เม.ย.อาจเป็นเป้าหลอก เพราะความรุนแรงอาจจะไปเกิดขึ้นที่อื่นได้ ทั้งนี้ การข่าวยืนยันชัดว่า นายใหญ่จ่ายค่าหัวให้กับแกนนำคนเสื้อแดงให้เกณฑ์คนมาร่วมชุมนุมวันละ 1,500 บาท แต่กลับมีการหักค่าหัวคิว ด้วยการไปเกณฑ์แรงงานต่างด้าวมาชุมนุมแทน โดยจ่ายค่าแรง 2 วัน ไม่เกิน 500 บาท ซึ่งแกนนำคนเสื้อแดงจะอ้วนก็คราวนี้ เพราะนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ประกาศว่า ต้องการแสดงจำนวนคนเสื้อแดงในพื้นที่ใหญ่ โดยวันแรกจะมีคนมาชุมนุมถึง 5 แสนคน วันต่อไปเพิ่มเป็น 1 ล้านคน ซึ่งตนคิดว่าไม่ใช่หมายถึงจำนวนคน แต่หมายถึงเงินที่แกนนำจะนำไปแบ่งปันกันในการหักหัวคิวกันอย่างล่ำสันจัดเท่าไหร่ก็รวยเท่านั้นหรือไม่
นายชวนนท์ เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ที่ตั้งด่านสกัดตรวจบัตรประชาชนของผู้มาร่วมชุมนุม และขอกำชับสถานทูตของประเทศเพื่อนบ้านให้เฝ้าระวัง เพราะหากต่างชาติเข้ามาชุมนุมแล้วสร้างความเสียหายจะเกิดปัญหาระหว่างประเทศได้และนายจ้างผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบ เพราะตามกฎหมายไม่อนุญาตให้แรงงานเคลื่อนย้ายออกนอกพื้นที่ได้
นายชวนนท์ กล่าวถึงการที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ จะนำคดีการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อเอาผิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่า ถือเป็นเรื่องน่าขบขัน เพราะคดีของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ อยู่ในขั้นตอนของศาลในประเทศ ซึ่งศาลอาญาระหว่างประเทศไม่สามารถก้าวล่วงได้ แต่ถ้า นายสุรพงษ์ แน่จริงก็ขอให้ประกาศยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศโดยเร็ว อย่าดีแต่ขู่ อย่าอวดเก่ง เพราะคนแรกที่จะไปศาลอาญาระหว่างประเทศ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กรณีการสังหาร 2,500 ศพ ที่ อ.ตากใบ และมัสยิตกรือเซะ เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้มีที่อยู่อย่างถาวรเสียที
นายชวนนท์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.ระบุกลุ่มก่อวินาศกรรมระเบิดไปป์บอมบ์ ที่มีนบุรีเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น ย่านบางบัวทอง ปี 2553 ว่า เป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องให้ความสนใจ เพราะสะท้อนว่าเมื่อคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวจะมีกระบวนการทำระเบิดเกิดขึ้นทันที และยังมีลักษณะระเบิดเหมือนกับที่วางที่หน้าสำนักงานอัยการสูงสุด แสดงว่ามีการใช้อาวุธคุกคามกลางเมืองหลวง น่าจะเป็นเครือข่ายของพรรคเพื่อไทย และคนในรัฐบาลหรือไม่ จึงขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะ พล.ต.อ.เอก เพราะจุดนี้เป็นกุญแจดอกสำคัญไขความลับใครทำร้ายประเทศเมื่อปี 2553 และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ เพราะหากไม่สั่งให้มีการสืบสวนสอบสวนจะขอกล่าวหาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ รู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่
นอกจากนั้น ยังพบว่ามีการแบ่งกลุ่มตระเวนก่อเหตุอีกด้วย เช่น การพบระเบิดเอ็ม 79 ในการชุมนุมของกลุ่ม กวป.ที่ชุมนุมหน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นลักษณะเดียวกับระเบิดที่ยิงเข้าไปในสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส จึงถือเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเอาจริง หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่จัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ก็อย่าหวังเข้าสู่ความปรองดองและอย่าหวังว่าคนไทยจะยอมให้กลับเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
นายชวนนท์ กล่าวว่า นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังมีกองกำลังคิดบัญชีกับคนที่เป่านกหวีด เช่น กรณีการยิงระเบิดบ้านนางทยา ทีปสุวรรณ อดีตแกนนำ กปปส.ล่าสุดที่ น.ส.พัชรนันท์ หรือ นัท หลีล้วน ที่เคยเป่านกหวีดใส่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ จ.เพชรบูรณ์ ก็โดนระเบิดเช่นกัน นี่คือสภาพจิตใจของคนที่มีอำนาจในขณะนี้ วันนี้สำหรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แล้ว นกหวีดอาจจะมีอานุภาพรุนแรงกว่าอาวุธสงคราม เพราะเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกเป่านกหวีด บรรดาอดีต ส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทยแถลงปกป้องและต่อต้านความรุนแรง แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามโดนอาวุธสงคราม กลับไม่เคยออกมาปกป้องเลย นี่คือพฤติกรรมของคนรับใช้ทางการเมือง ขอเตือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าถ้าอยากปรองดองต้องหยุดพฤติกรรมทุกรูปแบบ
นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันเสาร์ที่ 5 เม.ย.ซึ่งเป็นฤกษ์ดี ขอแนะนำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แก้กรรม 5 กรรมโดยด่วน คือ 1.การเมืองถึงทางตัน โดยมีผู้ชุมนุมสองฝ่าย และปัญหาการเลือกตั้ง 2.เศรษฐกิจถดถอย ข้าวของแพง โดยเฉพาะในเดือน พ.ค.เป็นช่วงเปิดเทอมจะเป็นอีกปีหนึ่งที่ผู้ปกครองเดือดร้อนมาก และราคาก๋วยเตี๋ยวขณะนี้สูงถึงชามละ 50-70 บาทแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจถดถอย คือการทุจริตโครงการจำนำข้าว จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการระบายข้าวและนำเงินมาคืนชาวนา และแก้ปัญหาทุจริต
3.สังคมรุนแรงที่เกิดจากปัจจัยความแตกแยกทางการเมือง มีการใช้อาวุธทุกรูปแบบ แต่รัฐบาลไม่สามารถดูแลได้ 4.คุณธรรมตกต่ำ โดยเฉพาะประชาชนเห็นว่ารัฐบาลขาดคุณธรรมสนับสนุนให้คนอีกกลุ่มใช้อาวุธความรุนแรงเพียงเพื่อรักษาอำนาจตัวเอง และ 5.ต้องแก้กรรมตัวเอง โดยถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องไปชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆ และหยุดโทษองค์กรต่างๆ ว่ากลั่นแกลงได้แล้ว หากแก้กรรมทั้ง 5 ได้ ประเทศและการเมืองจะมีทางออกเศรษฐกิจจะดีขึ้น
ด้าน นายองอาจ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญสมคบคิดกับคณะบุคคล เพื่อล้มรัฐบาลกรณีที่รับพิจารณาคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ โยกนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไม่เป็นธรรมว่า การกระทำของศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด แต่ปัญหาเกิดจากพฤติกรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทีทำเพื่อญาติ จึงน่าจะเป็นทฤษฎีเจตนาคิด และทำผิดกฎหมายมากกว่า แถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้อำนาจตามกฎหมายแต่กลับถูกกล่าวหาว่าแทรกแซงนั้น ตนอยากให้พรรคเพื่อไทย และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปอ่านเอกสารคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 20 ก.พ.57 ที่ย้ำชัดว่า การโยกย้ายดังกล่าวเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องห้ามตาม มาตรา 268
ดังนั้น แถลงการณ์ดังกล่าวจึงเป็นแค่การแก้เกี้ยวดิสเครดิตศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีเหตุผล คือ กดดันศาลรัฐธรรมนูญทุกรูปแบบ ชี้นำว่าศาลต้องตัดสินไปตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย ต้องการ ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ควรทำตนเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียเอง และยังขู่ว่าจะเคลื่อนไหวใหญ่หากคำวินิจฉัยไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามความต้องการของคนเสื้อแดง ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยควรให้ศาลทำหน้าที่อย่างอิสระ เที่ยงธรรม และตัดสินออกมาเพื่อประโยชน์บ้านเมือง ที่สำคัญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยต้องยอมรับคำวินิจฉัยของศาลด้วย
ขณะที่ นายชวนนท์ กล่าวว่า การที่ นายโภคิน พลกุล คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย นำกรณีที่ศาลยกคำร้องกรณีคุณสมบัติการเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังการยุบสภา มาเทียบกับกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อเรียกร้องให้ศาลยกคำร้องให้ เพราะยุบสภาไปแล้วเหมือนกันนั้น ถือเป็นคำโกหกบิดเบือนอย่างร้ายแรง เพราะหลังการยุบสภาจะไม่มี ส.ส.คนใดรักษาการในตำแหน่ง ไม่ได้รับเงินเดือน ส.ส.ไม่มีสิทธิประโยชน์ในฐาน ส.ส.แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังคงรักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจในการบริหารงาน และได้รับเงินเดือน มีสิทธิประโยชน์เหมือนเดิม ซึ่งกรณีของนายอภิสิทธิ์ เมื่อมีการยุบสภาตำแหน่ง ส.ส.ก็หมดไปโดยปริยาย จึงไม่มีเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องมาวินิจฉัย จึงขอเรียกร้องให้นายโภคินเลิกออกแถลงการณ์ที่ทำให้สังคมสับสน เพราะไม่เป็นประโยชน์ สร้างความแตกแยกในสังคมและขอถามไปยังฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ว่า หนทางที่ดีที่สุดที่จะนำสู่ความปรองดองได้ไม่ใช่คนไทยอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันหรือ