รองโฆษก ปชป.ตอกนายกฯ ทัวร์เหนือ อีสาน กลาง ดูงานไร้ปัญหา แต่ใต้เดือดหายหัว ชี้ควบ รมว.กห.ก็ต้องรับผิดชอบ ไล่ส่องกระจกเหมาะเป็นผู้นำหรือไม่ แจงไม่มีรัฐสภาตรวจงบฯ 57 นักการเมืองรองาบ สบช่องกำลังวุ่น เรียกเปอร์เซ็นต์สูง 30-35 วอน ขรก.ช่วยสอบ 3 สันดาน ล็อกสเปก อ้างเด็กนักการเมืองไถเงิน ฮั้ว หวั่นอิทธิพลให้ส่งข้อมูลมาที่ ปชป. ฝาก “ชัชชาติ” สอบเรียกค่าหัวคิวคมนาคม เหมาเครื่องหิ้วแบงก์เกาหลี
วันนี้ (7 เม.ย.) นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวตั้งคำถามถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เกี่ยวกับกรณีเกิดเหตุความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า นายกฯ ออกตรวจดูงานภาคเหนือได้ ตั้งแต่ยังไม่เกิดปัญหาหมอกควันพิษ เมื่อภาคอีสานเกิดภัยแล้ง นายกฯ ก็สามารถเดินทางไปได้ และภาคกลางเกิดไฟไหม้บ่อเก็บขยะที่ อ.แพรกษา จ.สมุทรปราการ นายกฯ ก็เดินทางไปตรวจดูงานได้ แต่ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้เกิดขึ้นตลอดเวลาและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งคนเจ็บคนตาย แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ลงพื้นไปดูแลและให้ความมั่นใจแก่ประชาชน ทั้งที่นั่งควบถ่างขาในตำแหน่งรักษาการและรมว.กลาโหม ซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ในเมื่ออยากได้ตำแหน่ง ก็ต้องรับผิดชอบในการทำหน้าที่ดูแลปัญหาของประชาชนด้วยการลงพื้นที่ เพราะชีวิตคนไม่ใช่ผักปลา และไม่ใช่ใบไม้ที่ร่วงแล้วจะงอกใหม่ได้ เพราะครอบครัวใดที่สูญเสียแล้วจะไม่สามารถกลับมาใหม่ได้ ตนขอถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า วันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องส่องกระจกดูตัวเองว่ามีวุฒิภาวะหรือไม่ที่จะเป็นนายกฯ ของประเทศไทย และจะเป็น รมว.กลาโหมต่อไปได้หรือไม่
นายจุฤทธิ์กล่าวถึงกรณีการทุจริตคอร์รัปชันงบประมาณปี 2557 ที่มีวงเงิน 2.5 ล้านล้านบาทว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงรัฐบาลรักษาการ โดยในงบฯ ปี 57 ได้จัดงบเพื่อการลงทุน ไว้รวม 5.64 แสนล้านบาท และเป็นช่วงสุญญากาศทางการเมืองไม่มีรัฐสภาในการตรวจการใช้งบประมาณดังกล่าว จึงขอเรียกร้องให้ข้าราชการที่ใกล้ชิดกับการใช้งบประมาณในทุกกระทรวงทบวง กรม ช่วยกันร่วมตรวจสอบการใช้งบฯ ลงทุน เพราะมีนักโกงกินทางการเมืองเข้ามาหากินกับงบฯ ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยอาศัยจังหวะที่การเมืองเกิดความวุ่นวาย ผู้รับเหมาหลายรายร้องเรียนว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์เพื่อแลกงานสูงถึง 30-35% โดยต้องจ่ายก่อนถึงจะได้โครงการ ขอให้ข้าราชการไทยช่วยกันปกป้องผลประโยชน์ชาติ อย่ายอมให้นักการเมืองแทรกแซงที่มักใช้พฤติกรรม 3 ลักษณะ คือ 1. ล็อกสเปกโครงการ โดยเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการต่างๆ เพื่อนำบริษัทของตัวเองเข้ามารับงาน หรือหากล็อกสเปกไม่ได้ ก็จะใช้วิธีโยกงบฯ เพื่อเปลี่ยนสถานที่ของการทำโครงการ 2. อ้างความเป็นเด็กของรัฐมนตรีบางคนไปเรียกไถเงิน ว่าจะนำส่งรัฐมนตรี 30-35% รวมทั้งองค์กรของรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง เช่น การท่าอากาศยานที่วันนี้เปอร์เซ็นต์ส่วนต่างสูงพอๆ กับเพดานบินของเครื่องบินแล้ว 3. อ้างเป็นเด็กนักการเมืองไปฮั้วโครงการเพื่อกินส่วนต่าง 5-10%
นายจุฤทธิ์กล่าวต่อว่า ขณะนี้เกิดปัญหาใน 3 ข้อนี้ทั่วประเทศ หากข้าราชการคนใดมีข้อมูล วันนี้อย่ากลัวต้องต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ชาติบ้านเมือง เพราะหากไม่สู้ก็จะไม่มีโอกาสได้สู้ หรือหากหวั่นเกรงอิทธิพลการเมือง และมีข้อมูลชัดเจนพอ ขอให้ส่งมาให้ตนได้ที่พรรคประชาธิปัตย์โดยไม่ต้องแจ้งชื่อจริงก็ได้ พรรคยินดีรับทุกเรื่องเพื่อนำมาเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้ โดยจะร่วมตรวจสอบกับข้าราชการด้วย และขอฝากถึงนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ที่กระทรวงนี้มีงบลงทุนสูงถึง 1 แสนล้านบาท และโยงถึงแผนงานในโครงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทที่กู้ไม่ได้ แต่มีการเรียกเก็บหัวคิวส่วนต่างจาก 7 บริษัทใหญ่ไปแล้วซึ่ง 1 ใน 7 บริษัทที่ถูกเรียกค่าหัวคิว ไม่ยอมจ่าย เรื่องจึงแดงออกมา เมื่อจ่ายเงินไปแล้วแต่โครงการไม่ผ่านจึงต้องคืนเงิน และเมื่อไม่คืนเงินก็ต้องหาทางยัดโครงการนี้ไว้ในแผนงบปี 58 เพื่อชดใช้แทน จึงขอให้นายชัชชาติไปตรวจสอบกรณีนี้ และสอดคล้องกับที่มีข่าวออกมาว่ามีคนเหมาเครื่องบินหิ้วกระเป๋าหลายใบไปซื้อพันธบัตรของเกาหลีใต้เมื่อเร็วๆ นี้ เท็จจริงอย่างไร และขอให้พรรคเพื่อไทยตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นจะถูกครหาว่าแบ่งผลประโยชน์ลงตัวแล้วใช่หรือไม่