หน.ปชป.ชี้ปัญหาประเทศไทยมาจากครอบครัวชินวัตรอยู่เหนือกฎหมาย ไม่นึกว่า “ยิ่งลักษณ์” ทำตัวเองแล้วต้องมีน้ำตา ซัดถ้าไม่อยากถูกมองว่าถูกไล่ล่าก็อย่าทำผิดกฎหมาย ย้ำพยายามรักษาระบบและตักเตือน ไม่ใช่ห้ำหั่น ไม่อย่างนั้นถูกไล่ตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมแล้ว อัดประดิษฐ์วาทกรรม “คนที่ทำผิดกติกาอยู่ได้” เหิมเกริมคิดว่าตัวเองชี้ถูกผิดได้ เคยเตือนเพื่อไทยจ้อช่อง 11 แล้ว เปรียบพวกชอบเล่นฟาวล์เอาเปรียบ ถูกเป่าแล้วโวยวาย
วันนี้ (14 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ปัญหาของประเทศไทยในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา มาจากประเด็นเดียวคือ ครอบครัวชินวัตรต้องการอยู่เหนือกฎหมาย ตนรู้สึกสงสารประเทศไทย ไม่อยากเชื่อว่าทั้งผู้นำรัฐบาลและรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่กลับออกมาโวยวายว่าทำไมต้องปฏิบัติตามกฎหมายและแปลกใจที่เห็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี มีน้ำตา ไม่นึกว่าบุคคลซึ่งต้องรับผิดชอบบ้านเมืองมีปฏิกิริยาอย่างนี้ต่อผลของการกระทำของตัวเอง แต่ยังไม่พยายามย้อนมองกลับไปดูตัวเอง
“จะเปรียบเทียบอย่างไรผมก็นึกไม่ออก คล้ายๆ กับเหมือนจะว่าเด็กก็ไม่เชิง เวลาทำอะไรไม่คิด พอทำไปแล้วก็มาร้องห่ม ร้องไห้ พยายามจะโทษว่าทำไมจะต้องมาลงโทษ ทำไมจะต้องมาเกิดอย่างนี้ ราวกับว่าทั้งหมด ศาล สังคม ผู้ชุมนุม ผู้อยู่ตรงข้ามรัฐบาลรังแกรัฐบาลตลอดเวลา ผมเลยไม่แน่ใจว่าร้องจริง หรือว่าเป็นไปตามยุทธศาสตร์ ที่ต้องขอความสงสาร หรือต้องให้เกิดความรู้สึกว่าถูกกลั่นแกล้ง” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่ากำลังถูกใช้กฎหมายไล่ล่า นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องต่างๆ ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กำลังถูกดำเนินคดีนั้นหลายฝ่ายเคยท้วงติงมาแล้วทั้งสิ้น แต่ก็ไม่เคยรับฟัง เพราะเชื่อคนรอบตัว ซึ่งวิธีที่ไม่อยากให้ถูกกฎหมายไล่ล่าคืออย่าทำผิดกฎหมาย แต่อยากถามว่าคนที่ถูกกฎหมายไล่ล่า กับคนที่ถูกไล่ล่าโดยอาก้า เอ็ม 79 ใครสมควรโวยวายมากกว่ากัน หรือหากไม่อยากเห็นองค์กรต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ตอบคำถามต่างๆ ก็ต้องตัดสินใจทางการเมืองด้วยตัวเอง โดยแก้ไขในสิ่งที่ผิดกฎหมาย เช่นปัญหาการเลือกตั้ง หรือปัญหาจำนำข้าว แต่ตอนนี้มันสายเกินไป เพราะไม่เคยฟังเสียงท้วงติง และวันนี้ประชาชนมองเห็นแล้วถึงสิ่งไม่ดีต่างๆ จึงได้ออกมาบนถนน ดังนั้น หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังไม่หลุดพ้นจากวงล้อมของคนรอบตัวแล้วมาฟังคนอื่น ก็คงจะต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ต่อไป และหากแสดงความรับผิดชอบลาออกทันทีที่มีการกระทำความผิดก็ไม่ต้องโดนคดีเพิ่มมากมายเช่นนี้
“2 ปีที่ผ่านมา พวกผมไม่ได้ใช้การเมืองเป็นเครื่องมือห้ำหั่นใคร แต่พยายามรักษาระบบและเตือนมาตลอด ขอให้ย้อนกลับไปดู ถ้าสังคมห้ำหั่นพวกคุณ เขาต้องไล่ออกไปตั้งแต่ปล่อยน้ำท่วม ไม่ยอมมาทำหน้าที่ในสภา หลบหลีกการตรวจสอบ และอีกหลายเรื่อง การพูดว่าคนที่ถูกรังแกต้องกลับมายืนสู้ ถือเป็นการข่มขู่ เพราะมีพฤติกรรมมาแล้วทั้งตระกูลเห็นชัดอยู่แล้วว่าได้ใช้ความรุนแรงกับคนอย่างไร การที่มีคนเสื้อแดงปาอุจจาระที่หน้าสำนักงาน ป.ป.ช. ก็สอดคล้องกับที่คุณยิ่งลักษณ์พยายามขู่ แต่วันนี้ประชาชนก้าวข้ามความกลัวไปแล้ว ดังนั้นจึงป่วยการที่จะขู่ เพราะความโหดร้ายที่สังคมไทยต้องรับจากคุณยิ่งลักษณ์กับพี่ชายนั้นเยอะมาก” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนการที่บอกว่าคนที่ทำผิดกติกาอยู่ได้ คนที่ถูกกติกาอยู่ไม่ได้ นายอภิสิทธิ์มองว่า เป็นความพยายามประดิษฐ์วาทกรรม และประจานให้เห็นว่าคนเหล่านี้เหิมเกริมถึงขั้นคิดว่าตัวเองชี้ถูกชี้ผิดได้ ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงทางกฎหมาย และเปลี่ยนทัศนคติ แต่อาจจะสายไปแล้ว และการที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอนรัฐบาลกรณีที่ศาลรัธรรมนูญชี้ว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น เป็นเพราะรัฐบาลเป็นคนออกกฎหมาย ส่วนสภาไม่ต้องรับผิดชอบเพราะ ป.ป.ช.ชี้ว่าได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และไม่ได้แก้ในสิ่งที่เป็นบทบัญญัติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แสดงว่าการดำเนินการผลักดันเสนอมาโดยรัฐบาลเอง จะโยนความผิดมาให้สภาไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการตรวจสอบกรณีผู้สมัครพรรคเพื่อไทยออกสื่อช่อง 11 และกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตระเวนเดินทางไปภาคเหนือและอีสาน ว่าต้องเป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมาย การใช้เครื่องบินของกองทัพอากาศไปต่างจังหวัดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ต้องดูที่เจตนาและปรับให้เข้ากับบทกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ตนเคยเตือนแล้วว่าส่อที่จะเป็นการทำผิดกฎหมาย เนื่องจากสมัยที่ตนเป็นรัฐบาลรักษาการ ทาง กกต.ได้กำหนดข้อห้ามทำในบางเรื่อง ซึ่งตนได้ออกมติ ครม.ให้ปฏิบัติตามนั้น แต่รัฐบาลชุดนี้กลับไม่ทำ เปรียบเหมือนพวกเล่นกีฬา ชอบเล่นฟาวล์เอาเปรียบ แต่เวลาถูกเป่าก็มาโวยวาย