ที่ประชุม กกต.กวักมือเรียก “เหลิม” แจง ศรส.ใช้งบ 2,309 ล้าน 27 มี.ค.เห็นชอบรัฐอนุมัติงบกลางให้ ศอ.รส.1,250 ล้าน จ่ายเบี้ยเลี้ยง จนท.ดูแลความสงบเรียบร้อย หลังสำรองจ่ายไปแล้ว วอนตำรวจถ้าได้เบี้ยเลี้ยง-ค่าอาหารไม่ครบ 700 มาร้องเรียน ยังไม่สรุปปมช่อง 11 ปล่อยผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทยหาเสียง ยืดพิจารณาเป็น 27 มี.ค.ฟ้อง “เก่ง การุณ” เรียกค่าเสียหาย 5 ล้าน ถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ต้องจัดเลือกตั้ง ส.ส.ดอนเมืองใหม่
วันนี้ (13 มี.ค.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง แถลงภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุม กกต.ได้พิจารณากรณีที่คณะรัฐมนตรีส่งเรื่องขอให้พิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 181(2) ขออนุมติใช้งบกลาง 3,559 ล้านบาท โดยที่ กกต.อนุมัติ แยกเป็น 1,250 ล้าน สำหรับให้ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) เพื่อเป็นค่าเบื้ยเลี้ยงให้กับกำลังพลจำนวน 33,844 นาย ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกำลังพลในสังกัดหน่วยงานอื่น เช่น สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย และ กำลังทหารจาก 3 เหล่าทัพ ที่ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 56 ถึง 21 ม.ค. 57 รวม 52 วัน เนื่องจากเห็นว่าเงินจำนวนดังกล่าวใช้จ่ายเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงให้กับเจ้าหน้าที่ผู้มาปฏิบัติงาน โดยส่วนราชการต่างๆ ได้ใช้เงินของสำนักงานสำรองจ่ายไปแล้ว หากไม่มีการอนุมัติงบกลางไปช่วยจะทำให้หน่วยงานนั้นๆ ขาดสภาพคล่อง และอาจกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยให้ประชาชนได้ และเพื่อให้ชัดเจนว่าเงินดังกล่าวใช้เป็นเบี้ยเลี้ยงสำหรับผู้ปฏิบัติงานจริง ที่มีการอ้างว่า เป็นเบี้ยเลี้ยงวันละ 400 บาท และค่าอาหารวันละ 300 บาท รวม 700 บาทต่อคนต่อวัน ดังนั้นหากเจ้าหน้าที่คนใดไม่ได้รับเงินครบตามจำนวนดังกล่าวขอให้มาร้องเรียนต่อ กกต.และ กกต.จะได้มีการดำเนินคดีกับผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ในวงเงิน 1,250 ล้านนี้ ยังมีการขอเป็นค่าประชาสัมพันธ์เชิงรุก 9.9 ล้านบาท ซึ่งผู้ชี้แจงยังไม่สามารถให้รายละเอียดที่ครบถ้วนได้ ดังนั้นยอดเงิน 9.9 ล้านบาท กกต.ยังไม่อนุมัติจนกว่าจะมีการชี้แจง
ส่วนงบกลาง 2,309 ล้านบาท ในส่วนของศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ที่มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นผู้อำนวยการ ซึ่งถือว่าเป็นฝ่ายการเมือง ระหว่างวันที่ 22 ม.ค.ถึง 22 มี.ค.รวม 60 วัน เพื่อใช้ในการดำเนินการนั้น ผู้ที่มาชี้แจงไม่สามารถชี้แจงในรายละเอียดได้ กกต.จึงยังไม่เห็นชอบในกรอบวงเงินดังกล่าว และขอให้ ร.ต.อ.เฉลิม มาชี้แจงด้วยตนเอง โดย กกต.ต้องการทราบถือการทำงานเชิงประสิทธิผล และประสิทธิภาพ ของ ศรส.ที่จะเกิดขึ้นเพื่อเป็นการประกอบการตัดสินใจของ กกต.และเป็นการแลกเปลี่ยนแนวความคิดในการทำงานร่วมกันระหว่าง กกต.และ ศรส.ในวันที่ 27 มี.ค.นี้ โดย กกต.จะทำหนังสือเชิญไปยังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเข้าร่วมรับฟังด้วย เผื่อจะมีข้อเสนอแนะหรือข้อท้วงติง
นายสมชัย ยังกล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณากรณีที่ตนเสนอให้ตรวจสอบรายการที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศช่อง 11 ซึ่งมีการเชิญผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขตเลือกตั้งของพรรคเพื่อไปออกอากาศ ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค. 56 ถึง 7 มี.ค. 57 ซึ่งเป็นช่วงที่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง เพราะอาจเข้าข่ายก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้ง โดยสำนักกฎหมายและคดี ของสำนักงาน กกต.ได้ตรวจสอบและมีความเห็นว่ามี 23 ครั้ง ที่มีการดำเนินรายการในลักษณะดังกล่าว ซึ่งเนื้อหารายการที่ออกอากาศมีความยาว ตั้งแต่ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
จึงเห็นว่า 1.อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และ ผอ.ช่อง 11 ในฐานะผู้บริหารสื่อของรัฐอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนประกาศ กกต.เรื่องหลักเกณฑ์การดำเนินการของรัฐในการสนับสนุนการเลือกตั้ง ส.ส.ข้อ 20 ที่กำหนดให้สื่อของรัฐต้องจัดให้พรรคการเมืองได้แสดงวิสัยทัศอย่างเท่าเทียมกัน และถือเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 57 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว.ที่ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบเพื่อเป็นคุณเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ซึ่งหากพบว่ากระทำผิดจริงจะมีโทษ ตามมาตรา 137 ของ พ.ร.บ.เดียวกัน ซึ่งระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี
2.พบว่ามีรัฐมนตรี 3 คน คือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ไปออกรายการทางช่อง 11 อาจเข้าข่ายเป็นการใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อประโยชน์ในการหาเสียง อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 181(4) และฝ่าฝืน ข้อ 4(7) ของ ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐ หรือบุคลากรของรัฐเพื่อมีผลต่อการเลือกตั้ง และเพื่อให้เกิดความรอบคอบทางสำนักกฎหมายก็ได้เสนอว่าควรมีการสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องและรวบรวมหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณา และ 3. กรณีมีผู้สมัคร ส.ส.ไปออกอากาศ ข้อเท็จจริงในเนื้อหาสาระยังไม่ชัดเจน ทางสำนักกฎหมายก็ได้เสนอให้สอบสวนเพิ่มเติมเช่นเดียวกัน ซึ่งประเด็นทั้งหมดเบื้องต้นที่ประชุมเพียงแต่รับทราบความเห็นเท่านั้น ยังไม่มีมติในการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะวันนี้มีกรรมการเข้าประชุมเพียง 4 คน โดย นายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง ติดภารกิจในต่างประเทศ และขณะที่กำลังพิจารณาเรื่องนี้ มี กกต.หนึ่งคนต้องรีบเดินทางไปปฏิบัติภารกิจต่างจังหวัดทำให้เหลือกรรมการประชุมเพียง 3 คน ถือว่าองค์ประชุมไม่ครบ ประกอบกับเห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญที่ กกต. ทั้ง 5 คนควรได้ร่วมกันพิจารณาจึงนัดที่ประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ในวันที่ 27 มี.ค.ซึ่งคาดว่าจะสามารถมีมติอย่างใดอย่างหนึ่งได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก นายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย จำนวน 5,201,313 บาท ต่อศาลแพ่ง จากกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และสั่งให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 12 ดอนเมือง กรุงเทพมหานครใหม่