xs
xsm
sm
md
lg

“ปู” ปัดสวะโกงจำนำข้าวดูแค่นโยบายไม่ได้สั่งการ โวย ป.ป.ช.เมินเปลี่ยนตัว “วิชา” แถมเร่งฟันคดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพจากเว็บไซต์เฟซบุ๊กYingluck Shinawatra
“ยิ่งลักษณ์” เพิ่งนึกได้! โพสต์แถลงหลัง ป.ป.ช.ฟันจำนำข้าว โวยไม่เปลี่ยนตัว “วิชา” ตามคำร้อง แถมขอทราบพยานหลักฐานก็ไม่ให้ อ้างเป็นประธาน กขช.ดูแค่นโยบายไม่ได้สั่งการ จวกเร่งฟันภายใน 21 วันทีคดีรัฐยุค ปชป.กลับเงียบฉี่ ลั่นไม่ได้ทำผิด โวดึงดันเดินหน้าโครงการหวังพิสูจน์ว่าดีจริง ดักคอองค์กรอิสระฟังคำชี้แจงก่อนชี้มูล อย่าเร่งรีบ

วันนี้ (20 ก.พ.) เมื่อเวลา 11.15 น. เว็บไซต์เฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่คำแถลงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณี ป.ป.ช.กล่าวโทษโครงการรับจำนำข้าว โดยระบุว่าตนยืนยันอีกครั้งว่าตลอดระยะเวลาสองปีกว่าที่ตนได้มาทำงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ตนตั้งใจที่จะทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนด้วยความมานะอุตสาหะและที่สำคัญด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด เพราะตนตระหนักเสมอว่าเมื่อประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกเราเข้ามาทำงานแล้ว เราจะต้องไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง และต้องทำให้ดีที่สุดดังที่สัญญากับประชาชนไว้ โดยเฉพาะการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนทั้งประเทศ และการรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่า เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้มีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริงตามคำร้องของพรรคประชาธิปัตย์ และกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีเหตุควรสงสัยเรื่องการปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว โดยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการตามอำนาจหน้าที่ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2557 ซึ่งต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้มีหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช. ลงวันที่ 31 มกราคม 2557 แจ้งเรื่องไต่สวนมายังตน ให้ทราบเรื่องการตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน และมอบหมายให้ ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. และนายประสาท พงษ์ศิวาภัย เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุต่อว่า โดยหนังสือที่แจ้งต่อตนยืนยันว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ผู้ไต่สวน จะปฏิบัติต่อตนให้ได้รับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมอย่างเหมาะสมด้วยความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่นั้น ตนก็เชื่อคำกล่าวอ้างในหนังสือของ ป.ป.ช. เพราะเมื่อคำนึงถึงตำแหน่งที่ดิฉันดำรงอยู่ คือในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน ก็ย่อมควรที่จะได้รับการอำนวยความยุติธรรมตามสมควร กล่าวคือ การรับฟังพยานหลักฐานในเรื่องที่มีการกล่าวหาอย่างเพียงพอ แม้ไม่สิ้นกระแสความในขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหา และแม้กฎหมายจะระบุให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการโดยเร็วแต่ก็ไม่ควรเร่งรีบเร่งร้อน เพื่ออำนวยความยุติธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา

รักษาการนายกรัฐมนตรีระบุว่า การทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ถือเป็นการทำงานในระดับนโยบาย ส่วนในระดับปฏิบัติการการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าว ก็เช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ กล่าวคือ มีการกำหนดโครงสร้างการทำงานขั้นตอนและกระบวนการปฏิบัติ เพื่อรับจำนำและระบายข้าว โดยมีหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบการปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบาย

“ระบบงานราชการเป็นระบบการทำงานที่มีมาตรฐาน การที่ดิฉันทำงานอยู่ในระดับการกำหนดนโยบาย จึงไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการลงไปปฏิบัติการสั่งการ หรือครอบงำเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย ทั้งการดำเนินโครงการตามนโยบายดังกล่าวก็เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี และตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาซึ่งต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 171 และ 178 และดิฉันตระหนักเสมอว่า การทำงานไม่ว่าจะเป็นราชการหรือเอกชน จะต้องใช้หลักการในการบริหารจัดการที่ดี มีการมอบหมายงานโดยเด็ดขาด เพื่อให้มีผู้รับผิดชอบในแต่ละเรื่องแต่ละขั้นตอนที่ชัดเจน” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุอีกว่า ดังนั้นเมื่อจะมีการแจ้งว่าจะไต่สวนข้อเท็จจริงตน ในเมื่อตนไม่ใช่ผู้ปฏิบัติแต่กำลังถูกกล่าวหา ตนก็จำเป็นต้องขอใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ขอทราบพยานหลักฐานและขอตรวจสอบพยานหลักฐาน ตามสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองและกำหนดไว้ เพื่อจะได้ชี้แจงเรื่องที่ถูกกล่าวหาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.เข้าใจในเบื้องต้นว่า มิได้กระทำผิดซึ่งเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ก่อนการถูกแจ้งข้อกล่าวหาในคดีต่างๆ ผู้ถูกกล่าวหาย่อมต้องมีโอกาสได้ใช้สิทธิ รวมทั้งการขอคัดค้านให้เปลี่ยนตัวบุคคลเป็นกรรมการผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งสำหรับกรณีที่ ป.ป.ช.ได้มอบหมายให้นายวิชาเป็นกรรมการนั้น ตนได้ขอให้ ป.ป.ช.รายอื่นทำหน้าที่กรรมการผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนแทน โดยตนได้ยื่นหนังสือจำนวน 2 ฉบับ ต่อ ป.ป.ช.ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2557 แล้ว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุต่อว่า เป็นที่น่าแปลกใจว่านับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตนไม่เคยได้รับแจ้งจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า เรื่องที่ตนขอความยุติธรรมทั้ง 2 เรื่องข้างต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะอำนวยความยุติธรรมให้แก่ดิฉันหรือไม่ กลับกันคือ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมานั้น ตนได้รับทราบจากการแถลงข่าวของกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นบุคคลที่ดิฉันคัดค้าน ว่า “ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ ให้เรียกตนมารับทราบข้อกล่าวหา โดยจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาให้ดิฉัน ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 14.00 น.” ซึ่งหากรวมเวลานับแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งคณะกรรมการไต่สวน เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2557 จนถึงวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาต่อดิฉัน ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 รวมเวลาที่ใช้ในการดำเนินคดีเพื่อแจ้งข้อหากับดิฉันเพียง 21 วัน ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนที่กรรมการ ป.ป.ช.เคยปฏิบัติต่อการไต่สวนในคดีทางการเมืองอื่นๆ อย่างเช่นคดีของตน มีข้อสังเกตที่มาใช้เปรียบเทียบได้ด้วยว่า คดีที่บุคคลรัฐบาลที่แล้วสมัยเมื่อเป็นรัฐบาลก็ถูกกล่าวหาในเรื่องทุจริต ในการปฏิบัติหน้าที่ในหลายคดีเช่นกัน เช่น คดีระบายข้าวถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตแต่ปรากฏว่าคดีไม่มีความคืบหน้าใดๆ แต่สำหรับตนแล้ว ในเวลาเพียง 21 วัน ตนก็ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา

“ดิฉันขอยืนยันความบริสุทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ว่า ดิฉันมิได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา จากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และข้อกล่าวหาที่ว่า ทำไมดิฉันไม่ได้ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว แต่กลับยืนยันที่จะดำเนินโครงการต่อไปนั้น แม้จะถูกกล่าวหาเช่นนี้ดิฉันก็พร้อมที่จะพิสูจน์ให้ชัดแจ้งอีกครั้งว่า โครงการดังกล่าวมีเจตจำนงที่ดีต่อชาวนา และเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน โครงการรับจำนำข้าวนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชีวิตใหม่ให้กับชาวนา และแม้ว่าชีวิตดิฉัน จะต้องตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา หรือรวมทั้งต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ตามความต้องการของผู้ล้มล้างรัฐบาลในปัจจุบัน แต่ดิฉันก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลอันเป็นข้อเท็จจริง โดยดิฉันหวังว่าจะได้รับความยุติธรรมจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. และหวังว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะยอมรับฟังคำชี้แจงและพยานหลักฐาน ของดิฉันให้เสร็จสิ้น ก่อนที่จะชี้มูลความผิดกระบวนการยุติธรรมตามหลักนิติธรรมนั้น ย่อมต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาพิสูจน์ตัวเองเสมอ” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุต่อไปว่า ที่สำคัญหากการอำนวยความยุติธรรมต่อตัวตนมีจริง โดยไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆแล้วคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็ไม่ควรรีบเร่ง รีบร้อน ในการไต่สวนและชี้มูลความผิด ให้เป็นไปในลักษณะที่จะถูกสังคมกล่าวหาได้ว่า เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ประสงค์ล้มล้างรัฐบาล และหากจะเปรียบเทียบกับคดีอื่นๆ กลับได้รับโอกาสในการได้รับการอำนวยความยุติธรรมอย่างเต็มที่ นับแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับคำร้องที่มีการกล่าวหา ดังที่ตนได้กล่าวไว้เบื้องต้นในกรณีการทุจริตในโครงการระบายข้าว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการไต่สวน รวมทั้งคดีที่ยื่นและการค้างพิจารณาอยู่อีกเป็นจำนวนมากมาย เช่น กรณี ปรส. ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.เองก็ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนต่อสาธารณชนว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ใช้อำนาจของตนอย่างถูกต้อง เที่ยงธรรม และเป็นไปตามหลักนิติธรรม ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดแล้วหรือไม่

“สุดท้ายนี้ ดิฉันขอเรียนต่อพี่น้องประชาชน และชาวนาว่า อย่างเพิ่งท้อถอยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เราจะร่วมกันในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงไปด้วยกัน และดิฉันพร้อมที่จะรับฟังและร่วมมือกับทุกฝ่าย เพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาวนาอย่างแท้จริง และหากต้องให้มีการแก้ไขปรับปรุงอย่างไร เพื่อให้โครงการสัมฤทธิผลยิ่งขึ้น ดิฉันก็พร้อมที่จะดำเนินการ ทั้งหมดก็เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน” น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุปิดท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น