ASTVผู้จัดการ - จับตารัฐบาลโยกหนี้ “เลี่ยงบาลี” หาเงินจ่ายค่าข้าว “ธีระชัย” โพสต์เตือน ขรก.-ผู้บริหารแบงก์รัฐ เป็นเครื่องมือร่วมขบวนกู้ 1.3 แสนล้าน ระวังซ้ำรอย “หวยบนดิน” กรุงไทยปัดข่าวโลกโซเชียลมั่ว ปล่อยกู้ 1.6 แสนล้าน
ช่วงบ่ายวันนี้ (23 ม.ค.) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะแถลงแนวทางในการกู้เงินโครงการรับจำนำข้าว รวมถึงทางหาเงินมาให้ชาวนาที่นำข้าวมาจำนำในปีการผลิต 56/57 หลังจากรัฐบาลได้รับขอความเห็นจากกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว
โดยมีการจับตาว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 (3) ห้ามไม่ให้รัฐบาลรักษาการทำอะไรที่จะเป็นผลผูกพันต่อรัฐบาลชุดต่อไป* เลยอาจใช้วิธีโยกหนี้เหมือนกับเป็นการ “เลี่ยงบาลี” เอาเม็ดเงินจากโครงการพัฒนาที่อนุมัติไว้แล้ว ผ่องถ่ายมาเป็นเงินกู้จ่ายหนี้ค่าข้าวให้ชาวนาแทน เป็นตัวเลขกลมๆ 1.4 แสนล้านบาท ใช้วิธีปรับปรุงแผนการก่อหนี้ ปรับยอดมาเปิดช่องกู้ยอดนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้ภายหลังจากการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ได้เห็นชอบให้มีการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2557 ครั้งที่ 1 ที่มีวงเงินปรับลดลง 5,168.92 ล้านบาท จากเดิม 3,321,499.76 ล้านบาท เหลือ 3,316,330.84 ล้านบาท
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้เสนอความเห็นต่อ ครม. แนบท้ายเอกสารการพิจารณา โดยรวมความเห็นข้อกฎหมายและความเห็นของหลายหน่วยงาน มี 3 ประเด็น
1. โดยที่ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 และมีผลใช้บังคับแล้ว ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค. 2556 เป็นต้นไป และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 180 และ 181 บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ และจะต้องไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2556 กำหนดแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎรไว้แล้ว
2. การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2557 ครั้งที่ 1 ตามที่ รมว.คลัง ประธานคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอในครั้งนี้ มีประเด็นข้อเสนอครอบคลุมถึงการรับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปี 2557 ครั้งที่ 1 การค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจต่างๆ และการกู้เงินของกระทรวงการคลัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการก่อหนี้และการเปลี่ยนแปลงการดำเนินโครงการของรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง โดยการปรับเปลี่ยนแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวที่ไม่เกินกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้เดิม พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 (ข้อ 4.2) ได้บัญญัติให้อำนาจของคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ
มีรายงานว่า ขณะเดียวกัน ความเห็นของ สบน.ยังเห็นว่า หากจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างรอบคอบ โดยต้องมีมติ ครม. และต้องแนบคำสั่งของ กกต.มาด้วย โดยเฉพาะความเห็นของ กกต.ต่อ มาตรา 181 (1) (2) ที่ต่อท้ายด้วยข้อความ ระบุว่า “เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจาก กกต.ก่อน” ส่วนที่ไม่ได้ตราไว้ ทั้งนี้ สบน.เกรงว่าจะเกิดปัญหาเช่นเดียวกับโครงการ “หวยบนดิน”
เรื่องนี้ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Thirachai Phuvanatnaranubala" ระบุว่า รัฐบาลจะให้กฤษฎีกาตีความเพื่อกู้ 1.3 แสนล้าน ถามว่าจะทำให้ปลอดภัยจริงหรือ
“มีข่าววันนี้ ว่ารัฐบาลจะขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตีความว่าการกู้ 1.3 แสนล้าน เพื่อจะหาเงินไปจ่ายให้แก่ชาวนา ที่ค้างจ่ายใบประทวนนั้น จะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ วิธีการของกระทรวงการคลัง ในการพยายามที่จะกู้ 1.3 แสนล้านครั้งนี้ มีเงื่อนงำหลายประเด็น
ประเด็นแรก วงเงินดังกล่าว จะใช้วิธีโยกออกมาจากโครงการลงทุนคมนาคมขนส่ง คือรัฐบาลจะให้ชะลอการลงทุนดังกล่าวไปก่อน แล้วจะนำเงินมาใช้ในโครงการจำนำข้าวแทน วิธีนี้ต้องเรียกว่า จับแพะชนแกะ เรียกได้ว่าจนตรอก จนต้องมั่ว เพราะเป็นการโยก เอารายการที่เป็นการลงทุนระยะยาว ไปดำเนินการเป็นรายการที่เป็นค่าใช้จ่ายเสียแทน - การทำเช่นนี้เป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของการตั้งวงเงินกู้โดยสิ้นเชิง จากรายการที่เป็นงบดุล ที่เข้าลักษณะเป็นงบลงทุน ไปเป็นรายการบัญชีกำไรขาดทุน ที่เข้าลักษณะเป็นงบประจำ การทำเช่นนี้ ไม่รู้ว่าถูกกฎหมายหรือไม่ แต่ไม่ค่อยเห็นเขาทำกัน ดังนั้น ย่อมไม่เป็นเรื่องปกติ แต่ส่อว่ามีเจตนาแอบแฝงบางอย่าง
ประเด็นที่สอง วงเงินที่กำหนดเดิมในปี 2554 จำนวน 4.1 แสนล้าน และที่เสนอ ครม. ในวันที่ 3 กันยายน 2556 อีก 2.7 แสนล้าน ก่อนหน้าที่จะมีการยุบสภานั้น ทั้งสองกรณีเป็นวงเงินหมุนเวียน ซึ่งมีเป้าประสงค์จะให้รัฐบาลขายข้าวออกไป เพื่อนำเงินมาใช้หมุนเวียนในรอบต่อๆ ไป - แต่การกู้ 1.3 แสนล้าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงเงินใหม่ 2.7 แสนล้านนี้ กลับไม่ได้คำนึงถึงการขายข้าว เพื่อนำเงินมาหมุนเวียน
พูดง่ายๆ ถ้าเปลี่ยนไปใช้หลักการว่า ขาดเงินเท่าไหร่ ก็กู้เพิ่มเท่านั้น จะทำให้เป้าประสงค์ที่จะให้รัฐบาลขายข้าว หมดสภาพไปโดยปริยาย - การกู้ 1.3 แสนล้าน โดยไม่กล่าวถึงวิธีแก้ปัญหา ที่สืบเนื่องมากจากการที่รัฐบาลไม่ยอมขายข้าวออกไป จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงหลักการ และไม่ตรงกับเจตนารมณ์เดิมของการอนุมัติวงเงินทั้งสองครั้งดังกล่าว
ประเด็นที่สาม ในการเสนอวงเงินเดิมในปี 2554 จำนวน 4.1 แสนล้าน ได้มีการขมวดไว้ชัดเจน กำหนดเงื่อนไขให้กระทรวงการคลัง ต้องค้ำประกันหนี้ดังกล่าวแก่ ธ.ก.ส. แต่ในการเสนอวงเงินใหม่ ในวันที่ 3 กันยายน 2556 อีก 2.7 แสนล้านนั้น ในขณะนั้น ไม่ได้มีการระบุให้กระทรวงการคลัง ต้องค้ำประกันหนี้ดังกล่าว แก่ ธ.ก.ส.ไว้แต่อย่างใด ต่อมาคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะ ได้มีมติให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน ในการที่ ธ.ก.ส.จะมีการกู้เงิน 1.3 แสนล้าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ 2.7 แสนล้านดังกล่าว และได้แจ้งให้ ครม.รับทราบ และต่อมากระทรวงการคลังได้ทำเรื่องนี้ไปหารือ กกต. แต่ กกต.ได้มีมติ ว่าการดำเนินการข้างต้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องใช้ดุลพินิจเอาเอง
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในประเด็นนี้ คือการที่คณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะ ได้มีมติให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน ในการที่ ธ.ก.ส.จะมีการกู้เงิน 1.3 แสนล้านนั้น คณะกรรมการได้มีมติ ในช่วงภายหลังจากที่ได้มีการยุบสภาไปแล้ว การกระทำของคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะ หากสามารถผูกมัด ครม.ได้แบบอัตโนมัติ โดยสมมุติ ครม. ไม่สามารถโต้แย้ง ก็มีผลไม่แตกต่างจาก ครม. เป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง - เพียงแต่เนื่องจาก ครม.รักษาการ ไม่สามารถค้ำประกันหนี้ 1.3 แสนล้านให้แก่ ธ.ก.ส.โดยตรง เพราะกลัวจะฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ก็เลยเฉไฉ ไปอาศัยให้คณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะ เป็นผู้ดำเนินการแทน
แต่การทำเช่นนี้ เป็นการส่อเจตนาชัดเจน ว่าพยายามจะทำในสิ่งที่รัฐธรรมนูญห้ามไว้ โดยอาศัยมือของคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะ - อย่างไรก็ดี หากมีการสอบสวนภายหลัง จะเห็นพิรุธ เพราะกรณีที่ผ่านมา หากจะให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน ก็จะมีการขมวดและระบุไว้ในการอนุมัติโดย ครม. แต่กรณีนี้กลับมีการปฏิบัติที่แหวกแนว กลับไปดำเนินการผ่านคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งไม่เป็นเรื่องปกติ
ประเด็นต่อมา รัฐมนตรีคลังแถลงว่า การกู้เงิน 1.3 แสนล้าน ไม่เป็นการที่รัฐบาลรักษาการ ทำให้เกิดหนี้ที่ผูกพันรัฐบาลใหม่ เพราะหนี้มีอยู่เดิมแล้ว ต้องยอมรับว่าเกษตรกรที่ถือใบประทวนนั้น เป็นเจ้าหนี้รัฐบาลอยู่แล้ว และหนี้ดังกล่าวก็มีอยู่แล้ว ทั้งต่อรัฐบาลนี้ และต่อรัฐบาลใหม่ แต่กรณีมีรัฐบาลใหม่ หากรัฐบาลใหม่ไม่ต้องการดำเนินนโยบายจำนำข้าวต่อไปเหมือนเดิม รัฐบาลใหม่อาจจะเปลี่ยนแปลงวิธีดำเนินการบางอย่างก็ได้ เช่น รัฐบาลใหม่อาจจะไม่ประสงค์จะใช้เงินกู้ เพื่อชำระใบประทวนก็ได้ แต่อาจจะเน้นใช้เงิน จากการขายข้าวออกไปแทน ทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ รัฐบาลใหม่อาจจะต้องการ ให้มีการตรวจนับสต๊อก หรือตรวจสอบขั้นตอนการรับข้าวเข้าโกดัง หรือตรวจสอบขั้นตอนการบันทึกบัญชี หรือทำเรื่องอื่นใด เสียก่อนที่จะมีการกู้ยืมเงิน 1.3 แสนล้านก็ได้ ดังนั้น การกู้เงิน 1.3 แสนล้าน จึงอาจจะมีผลเป็นการผูกพันรัฐบาลใหม่ได้ในบางเรื่อง
ประเด็นสุดท้าย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำแนะนำแก่รัฐบาล แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย คำตอบสุดท้าย อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การที่ข้าราชการ หรือผู้บริหาร ธ.ก.ส. ยอมตัวเป็นเครื่องมือ เข้าร่วมในขบวนการกู้เงิน 1.3 แสนล้าน หากภายหลัง ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิด บุคคลเหล่านี้ ก็จะต้องร่วมรับผิดไปพร้อมกับ ครม.
ข้าราชการจึงควรระมัดระวัง โดยเฉพาะการยกคำถามแก่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น ถ้าหากไม่พูดข้อเท็จจริงและเบื้องหลังให้หมด อาจจะได้คำตอบที่สนับสนุนรัฐบาล แต่เมื่อมีการร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญ และเมื่อมีการนำสืบวิธีดำเนินการ ที่ปรากฏว่ามีเงื่อนงำ หรือไม่เป็นไปตามครรลองปกติ ผลการตัดสินอาจจะไม่ตรงกับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้
ยิ่งขณะนี้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว ขั้นตอนการทำงานต้องเปลี่ยนไปจากเดิม ยิ่งอาจจะมีความเสี่ยงเกิดขึ้นแก่ข้าราชการ หรือแก่ผู้บริหาร ธ.ก.ส. ได้อย่างที่คาดไม่ถึง
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ส่วนอีกเรื่องที่มีข่าวแชร์ในโซเชียลมีเดียว่า “ธนาคารกรุงไทยได้อนุมัติเงินกู้จำนวน 160,000 ล้านบาท” ให้กับรัฐบาลในโครงการรับจำนำข้าวนั้น นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ได้ปฏิเสธว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ธนาคารไม่ได้ปล่อยกู้ให้กับรัฐบาลในโครงการดังกล่าว
“เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะไม่ใช้ธนาคารกรุงไทยเป็นเครื่องมือในโครงการดังกล่าว เพราะธนาคารกรุงไทยเป็นธนาคารพาณิชย์ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีผู้ถือหุ้นรายย่อยและสถาบันมากกว่า 45% รวมทั้งต้องแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์แห่งอื่น และในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน ธนาคารใช้มาตรฐานเดียวกัน โดยคำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ ตลอดจนความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้หรือผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ”
หมายเหตุ :
*รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 181 (3) ระบุว่า คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่พ้นตำแหน่งจะปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จำเป็น ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ดังต่อไปนี้คือ “ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป”