มติ ครม.เห็นชอบงบ 3.8 พันล้าน จัดเลือกตั้ง นายกฯ สั่งขี้ข้า รมว.กต.ประสาน ตปท.สังเกตการณ์ 20 ธ.ค. สรุปวงปาหี่ปฏิรูปรัฐสู่ที่ประชุมใหญ่ ไม่แคร์ กปปส.เมินร่วม ชี้ให้นำข้อเสนอไปเทียบกัน แจงนายกฯ ให้ ครม.น้อมนำพระราชดำรัสไปปฏิบัติ สะกิดแต่ละกระทรวงอย่าเงียบแจงผลงาน ปชช. สั่ง รมว.คลังกระตุ้น ศก. มท.พร้อมดูแลภัยหนาว เล็งประกาศภัยพิบัติ ญี่ปุ่นปลดล็อกรับไก่สด อ้างอาเซียนให้กำลังไทยผ่าวิกฤต สภาพัฒน์เผยเบิกจ่ายภาครัฐชะลอตัว
วันนี้ (17 ธ.ค.) ที่สโมสรทหารบก นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 3.8 พันล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการควบคุมและดำเนินการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการเลือกตั้งทั่วไป กรณียุบสภา โดยเป็นแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1. ค่าใช้จ่ายในสำนักงาน กกต. 3.2 พันล้านบาท และ 2. ค่าใช้จ่ายของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจจำนวน 18 หน่วยงานที่ต้องให้การสนับสนุนการเลือกตั้งของ กกต. 653 ล้านบาท ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มอบหมายให้นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ดำเนินการประสานงานระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกกต.ในการเชิญองค์กรต่างประเทศและสื่อมวลชนระหว่างประเทศมาสังเกตการณ์การเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. 57 และให้กระทรวงต่างๆ สนับสนุนการทำงานของ กกต.อย่างเข้มงวด
ด้าน ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผล ครม.ว่า สำหรับการประชุมกลุ่มย่อย “ประเทศไทยของเราจะไปทางไหน” ในวันนี้ (17 ธ.ค.) เป็นการนำข้อเสนอต่างๆ จากการเสวนาครั้งแรกมากำหนดให้เป็นข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม จากนั้นวันที่ 20 ธ.ค.จะมีการสรุปแล้วนำเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ ซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมประชุมในครั้งแรกให้รับทราบแนวทางการจัดทำข้อเสนอการปฏิรูปประเทศไทย โดยหวังว่าการประชุมดังกล่าวจะทำให้เห็นแนวทางที่ชัดเจนว่าการผลักดันให้มีการปฏิรูประหว่างการจัดการเลือกตั้งจะต้องมีขั้นตอนอย่างไร กรอบเวลาเป็นอย่างไร และแม้จะไม่มีตัวแทนจากกลุ่ม กปปส.มาเข้าร่วมประชุม แต่ไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้การประชุมเวทีนี้หยุดชะงักหรือประสบความล้มเหลว เพราะจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้สังคมนำไปเปรียบเทียบกับข้อเสนอของ กปปส.
ส่วนนายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผล ครม.ว่า นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พูดถึงการตีพิมพ์พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการออกมหาสมาคม นายกฯ จึงแจ้งต่อ ครม.ให้น้อมนำพระราชดำรัสไปปฏิบัติเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและเป็นแนวทางการทำงาน นอกจากนี้ เลขาฯครม.ยังได้ชี้แจงการประชุมครม.นัดสุดท้ายของปี 56 คือวันอังคารที่ 24 ธ.ค. และนัดแรกของปี 57 คือ วันที่ 7 ม.ค. และกล่าวถึง นายกฯระบุอีกว่าแม้จะยุบสภาไปแล้ว กระทรวงยังคงทำงานต่อ ขอให้ครม.ติดตามงานที่คงค้างอยู่เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างเรียบร้อย ขณะนี้ข่าวสารการทำงานของกระทรวงต่างๆ เงียบหายไป จึงอยากให้แต่ละกระทรวงมาแจ้งให้ประชาชนรับทราบว่าแต่ละกระทรวงมีกิจกรรมอะไรบ้าง
นายธีรัตถ์กล่าวอีกว่า นายกฯยังเป็นห่วงภาวะเศรษฐกิจ หลังจากที่มีการชุมนุมจนกระทั่งยุบสภาฯอาจทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง จีงมอบหมายนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง หาทางประสานงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ขอความร่วมมือเท่าที่ทำได้ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดไว้ เช่น การสนับสนันภาคเอกชน ภาคราชการ เดินหน้าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมระบุต่อว่านายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ได้แจ้งต่อ ครม.เรื่องสถานการณ์อากาศหนาว ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะรับไปดำเนินการ หากอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาฯ ติดต่อกัน 3 วัน จะสามารถประกาศภัยพิบัติทางธรรมชาติภัยหนาวได้ โดยใช้งบประมาณป้องกันภัยพิบัติภัยหนาวได้
นายธีรัตถ์กล่าวอีกว่า นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์ได้รายงานกับ ครม.ว่า เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ญี่ปุ่นได้ประกาศว่าไก่สดจากไทยปลอดจากเชื้อไข้หวัดนก หลังจากทีญี่ปุ่นสั่งห้ามนำเข้าไก่สดจากไทยเป็นเวลาเกือบ 10 ปี เป็นข่าวดีที่ไก่สดจากไทยจะส่งออกไปญี่ปุ่นได้ ส่วนกรณีนายกฯ มอบหมายให้นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ไปประชุมสุดยอดอาเซียนที่ญี่ปุ่นนั้น นายนิวัฒน์ธำรงได้กลับรายงาน ครม.ว่าที่ประชุมอาเซียนได้ชื่นชมการดำเนินการของรัฐบาลในช่วงวิกฤติที่ไม่ใช้กำลังรุนแรง นอกจากนี้ ยังได้ฝากข้อห่วงใยมายังนายกฯ ในการดำเนินการต่อไป และฝากประเทศไทยใช้การเจรจาตามกรอบประชาธิปไตย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยช่วงเดือนต.ค.ที่ผ่านมา เกรงว่าเรื่องผลกระทบจากการชุมนุม โดยเฉพาะการเบิกจ่ายเงินของข้าราชการ แม้เงินเดือนจะเข้าตามปกติ แต่การเบิกจ่ายของภาครัฐได้ชะลอตัวลงทันทีนับตั้งแต่มีการบุกยึดสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง ซึ่งผู้อำนวยการสำนักงบประมาณระบุว่าการเบิกจ่ายชะลอลงไปบ้าง แต่เอกชนเมื่อได้สัญญากับภาครัฐก็เริ่มไปขอสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์จะทำให้เม็ดเงินหมุนพอสมควร โดยนายกฯให้ติดตามผลกระทบจากการชุมนุมมีผลกระทบอย่างไรบ้าง ต่อเนื่องไปถึงการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร สภาพัฒน์ระบุว่าวันที่ 20 ธ.ค.นี้จะทราบตัวเลขว่าการชุมนุมจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากน้อยแค่ไหน แต่เบื้องต้นการท่องเที่ยวชะลอตัว