“นพดล” โวคำพิพากษาศาลโลกไม่ทำให้ไทยเสียดินแดนให้เขมร “รัฐบาลสมัคร” ไม่ได้ขายชาติตามที่ถูกโจมตี อโหสิกรรมพวกใส่ร้าย วอนหยุดวิจารณ์คำตัดสินศาลโลก ปล่อย “วีรชัย-ทีมทนาย” ได้ทำหน้าที่
วันนี้ (17 พ.ย.) นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แถลงว่า ตนขอความเป็นธรรม หลังจากที่ถูกกล่าวหาว่า ขายชาติ และถูกปิดเบือนใส่ร้ายมา 6-7 ปี อย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งคำตัดสินศาลโลกในวันที่ 11 พ.ย.ทำให้ประชาชนรู้ว่าพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ไม่ได้ตกเป็นของกัมพูชา และสิ่งที่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ทำ เป็นการปกป้องดินแดน ไม่ใช่ขายชาติ แต่ปกป้องชาติ หลังคำตัดสินศาลโลก ประชาชนเข้าใจ ทุกฝ่ายควรหยุดโกหกเรื่องปราสาทพระวิหาร รวมทั้งขอแก้ตัวให้กับพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กล่าวหาว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ในฐานะอดีต รมช.ต่างประเทศ ไปเซ็นลงนาม MOU43 ซึ่งเป็นการยอมรับแผนที่ 1:200,000 นั้น เป็นเท็จ
นายนพดล กล่าวว่า คำตัดสินได้ทำให้ความจริงปรากฏดังนี้ 1.คำตัดสินยืนยันชัดเจนว่าตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชามา 51 ปีแล้วตามที่ศาลโลกตัดสินในปี 2505 ไม่ได้เสียอะไรเพิ่ม 2.ปี 2549 ช่วงรัฐบาล คมช.กัมพูชายื่นเอาตัวปราสาทพระวิหาร บวกพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก 3.ปี 2551 รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ตนเป็น รมว.ต่างประเทศ คัดค้านและบังคับให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ออก และห้ามไม่ให้นำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยกัมพูชาต้องยื่นแผนผังตัวปราสาทใหม่แทนแผนที่ที่รุกล้ำพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ที่ยื่นไว้ จนสามารถขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทซึ่งมีพื้นที่เล็กกว่าเส้นรั้วลวดหนามตามเส้นมติ ครม.เสียอีก โดยไม่รวมพื้นที่ทับซ้อน ตามที่ระบุใน ข้อ 9 ของมติคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ 32 (7 ก.ค. 2551)
4.คำตัดสินศาลโลกครั้งนี้ ระบุไว้ชัดเจนว่ากัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เฉพาะตัวปราสาท และไม่รวมพื้นที่พิพาทไทย-กัมพูชา (พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.) ตามย่อหน้า 27 ของคำตัดสินศาลโลก 5.คณะทนายความผู้ต่อสู้คดี รวมถึงศาสตราจารย์ เปลเล่ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระดับโลก ที่มีนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก เป็นหัวหน้า ต้องการใช้คำแถลงการณ์ร่วมในการต่อสู้คดี
6.สรุปว่า คำตัดสินของศาลโลก ได้พิสูจน์อย่างชัดเจนว่า คำแถลงการณ์ร่วมไม่ได้ทำให้ไทยเสียดินแดนใดๆ แต่ได้ช่วยปกป้องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ไม่ให้ตกเป็นของกัมพูชา 7.อโหสิกรรมนักการเมืองกลุ่มที่ใส่ร้ายตนมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา 8.คำพิพากษาศาลโลกจะทำให้การบิดเบือนใส่ร้ายทำได้ยากขึ้น เพราะประชาชนเข้าใจว่าฝ่ายใดทำอะไรไว้ และ 9.ฝ่ายต่างๆ ควรหยุดวิจารณ์คำตัดสินศาลโลกเพื่อหวังผลทางการเมืองได้แล้ว แต่ควรให้ข้าราชการมืออาชีพทำงาน เลิกสร้างปัญหา แต่ควรร่วมมือแก้ปัญหา
“นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ก็ใส่ร้ายป้ายสีว่าผมทำให้เสียดินแดน ก็ขออโหสิกรรม นอกจากนี้ขอเรียกร้องให้ประชาธิปัตย์ และกลุ่ม 40 ส.ว.หยุดวิพากษ์วิจารณ์ได้แล้ว แล้วปล่อยให้นายวีรชัย พลาศรัย และทีมทนายได้ทำหน้าที่”