“นพดล” ซัดฝรั่งเขียนบทความ “สาธารณรัฐทักษิณ” มีอคติ คับแคบ ไม่ยอมพูดรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง มองทักษิโณมิกส์ฉาบฉวย ก่อนยกนโยบายโม้สวน ถามกองทุนหมู่บ้านเงินฟาดหัวตรงไหน สับรู้ร้อนรู้หนาวรัฐประหารหรือไม่ ยันนิรโทษคืนความเป็นธรรมเหยื่อ ไม่ได้ทำลายนิติธรรม ชม “สุรพงษ์” อวดตนให้เขมรขึ้นทะเบียนเฉพาะปราสาทถูก อ้างพระวิหารเป็นของเพื่อนบ้านตั้งแต่ปี 05 แล้ว โวเป็นผู้ปกป้องดินแดน
วันนี้ (9 พ.ย.) นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ตามที่นายวิลเลียมส์ เพเสก เขียนบทความเรื่อง Thailand’s Big Brother Drama โดยพยายามกล่าวหาว่าประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐทักษิณ และกล่าวโจมตีนโยบายทักษิโณมิกส์ ใช้เงินกู้ดอกเบื้อต่ำเพื่อฟาดหัวท้องถิ่นที่ห่างไกลเพื่อหวังคะแนนนิยม และวิจารณ์กฎหมายนิรโทษกรรมนั้น นายวิลเลียมส์มีอคติ และเป็นการมองเหตุการณ์การเมืองในประเทศไทยแบบคับแคบด้านเดียว เช่น ไม่พูดถึงว่ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ มาจากพี่น้องประชาชน และได้เสียงส่วนใหญ่จากการเลือกตั้ง และการคิดว่าทักษิโณมิกส์ที่เป็นนโยบายประชานิยมเพื่อฟาดหัวคนในชนบท ก็เป็นการมองแบบฉาบฉวย ถามว่านายวิลเลียมส์ทราบหรือไม่ว่านโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคที่ทำให้คนจนไม่ตายเพราะผ่าตัดลิ้นหัวใจได้ การให้ทุนลูกหลานคนจนไปเรียนต่อต่างประเทศหลายพันคน หรือการที่ให้คนจนไม่ต้องพึ่งเงินกู้นอกระบบที่ดอกเบี้ยแสนแพง ทำให้คนจนเข้าถึงแหล่งทุน และลืมตาอ้าปากได้จากกองทุนหมู่บ้าน ขอถามนายวิลเลียมส์ว่ามันเป็นการใช้เงินพาดหัวคนจนตรงไหน แต่เป็นการสร้างโอกาสให้คนยากจนโดยแท้
“นายวิลเลียมส์ เพเสก รู้ร้อนหนาวกับการรัฐประหารหรือไม่ ความจริงการยึดอำนาจรัฐประหาร พ.ต.ท ทักษิณ ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเป็นการทำลายหลักนิติธรรม และนายวิลเลียมส์ เพเสกก็ไม่ควรเห็นด้วยกับการตั้ง คตส. ที่เป็นปฏิปักษ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาสอบสวน พ.ต.ท.ทักษิณเอง ซึ่งเป็นการขัดหลักนิติธรรม ความจริงสำนักข่าวบลูมเบิร์กเป็นสำนักข่าวที่มีชื่อเสียง การเขียนถึงคนในประเทศอื่น ควรจะมีความเป็นกลาง มีความเป็นธรรม และมีข้อมูลรอบด้านกว่านี้ และกฎหมายนิรโทษกรรมในขณะนี้ พรรคเพื่อไทยก็ได้ถอนร่างไปหมดแล้ว เจตนารมณ์ก็เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และเพื่อคืนความเป็นธรรมให้เหยื่อรัฐประหารปี 2549 ไม่ใช่เพื่อการทำลายหลักนิติธรรม ตามที่นายวิลเลียมส์ เพเสก เข้าใจและประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร ไม่ใช่สาธารณรัฐ” นายนพดลกล่าว
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยังกล่าวว่า ตามที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ บิดเบือนใส่ร้ายตนเรื่องคำแถลงการณ์ร่วมนั้น ตนไม่ให้ราคานายชวนนท์ แต่ขอโอกาสชี้แจงเรื่องที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงว่ารัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช สมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นผู้เจรจาให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทพระวิหาร และไม่ยอมให้กัมพูชานำพื้นที่ทับซ้อนขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย เป็นการปกป้องดินแดนไทยนั้น ความเห็นของนายสุรพงษ์ถูกต้องแล้ว เพราะนายสุรพงษ์คงจะพูดจากเอกสารและความเห็นของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเรื่องนี้มีเอกสารเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่เรื่องลี้ลับ และคนไทยทั้งประเทศรู้กันหมดแล้วว่าปราสาทพระวิหาร ศาลโลกตัดสินให้เป็นของกัมพูชา 51 ปีที่แล้ว สมัยที่อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไปว่าความแล้วไทยแพ้คดีในศาลโลก
นายนพดลกล่าวต่อว่า ปี 2549 กัมพูชาจะนำตัวปราสาทบวกพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก อุปมาอุปไมยเปรียบตัวปราสาทเหมือนศาลพระภูมิ พื้นที่ทับซ้อนเปรียบเป็นสนามหญ้า กัมพูชาจะเอาทั้งศาลพระภูมิและสนามหญ้าไปขึ้นทัเบียนมรดกโลก แต่รัฐบาลสมัคร ได้เจรจาให้ตัดสนามหญ้าออก ให้ขึ้นได้เฉพาะศาลพระภูมิซึ่งเป็นของกัมพูชาตามคำตัดสินศาลโลกมา 51 ปีแล้ว สรุปคือรัฐบาลสมัครและตนได้คัดค้านไม่ให้กัมพูชานำพื้นที่ทับซ้อนไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก จึงเป็นที่มาของคำแถลงกาณณ์ร่วม ที่ระบุว่ากัมพูชาจะขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทที่เป็นของกัมพูชา ส่วนพื้นที่ทับซ้อนต้องตัดออกไม่ให้นำไปขึ้นทะเบียน ดังนั้นรัฐบาลสมัครจึงเป็นผู้ปกป้องดินแดนตามที่นายสุรพงษ์กล่าว แม้พรรคประชาธิปัตย์จะพยายามใส่ร้ายบิดเบือนในเรื่องนี้สักกี่รอบ ความจริงก็คือพรรคพลังประชาชนปกป้องดินแดนไทย