xs
xsm
sm
md
lg

สื่อนอกลากไส้ “แม้ว” เปลี่ยนสยามเมืองยิ้ม เป็น “สาธารณรัฐทักษิณ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลูมเบิร์ก - สื่อต่างประเทศลากไส้ “ทักษิณ” เปลี่ยนไทยจากสยามเมืองยิ้มเป็น “สาธารณรัฐทักษิณ” เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้มุ่งเป้าต่อผลประโยชน์ของอดีตนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น ชี้มีความทะเยอทะยานสูง ใช้เงินกำหนดทิศทางทั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคมผ่านโครงการประชานิยม ส่วนน้องสาว “ยิ่งลักษณ์” ก็พยายามนำตัวพี่ชายกลับประเทศอย่างสุดลิ่ม ด้วยการออกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

นายวิลเลียม เพเสก คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์บลูมเบิร์ก ได้เขียนบทความเรื่อง Thailand’s Big Brother Drama เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์เมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยระบุว่าแม้คุณจะไม่เห็นข้อความ “ยินดีต้อนรับสู่สาธารณรัฐทักษิณ” โชว์หราเมื่อเดินทางมาเยือนเมืองไทย แต่ดินแดน “สยามเมืองยิ้มแห่งนี้” ก็ถูกเปลี่ยนเป็นดินแดนแห่งทักษิณ ชินวัตร ไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้มีความเกี่ยวเนื่องและมุ่งเป้าต่อผลประโยชน์ของ อดีตนายกรัฐมนตรีท้กษิณ ชินวัตรทั้งสิ้น

คอลัมนิสต์รายนี้ระบุต่อว่า 7 ปีหลังจากที่อดีตนายกรัฐมนตรีถูกกระทำรัฐประหาร แต่เงาของ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงครอบงำการเมืองในไทย แม้นับตั้งแต่นั้นประเทศแห่งนี้ได้มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 6 คน และคนปัจจุบันคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง

บทความนี้เขียนต่อว่า ยิ่งลักษณ์มีความพยายามที่จะทำให้ ทักษิณและนักการเมืองคนอื่นๆหลุดรอดโทษจำคุกผ่านรัฐสภา ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในทางการเมืองของเอเชียที่แลเห็นในรอบหลายปี ด้วยประชาชนจำนวนมากออกมารวมตัวคัดค้านครั้งใหญ่ในเมืองหลวงและ 17 จังหวัดอื่นๆ จนทำให้เธอต้องถอนและตอนนี้ยอมที่จะคว่ำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแล้ว

ผู้เขียนระบุว่า เป็นธรรมดาของความผูกพันฉันพี่น้องที่ผลักดันให้ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะน้องสาว ต้องคอยดูแลพี่ชายในสายเลือด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของความพยายามผลักดันผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย เพื่อให้ทักษิณตลอดจนนักการเมืองคนอื่นๆพ้นความผิดในคดีต่างๆ จนกลายเป็นมหากาพย์ทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี

นายวิลเลียม เพเสก บอกต่อว่า ใครคาดหวังว่าฝันร้ายทักษิณของประเทศไทยนั้นจบไปแล้วนั้นคิดผิด เพราะมันไม่แค่การปรารถนากลับบ้านเกิดของเขาเท่านั้น เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ต้องการกู้รายได้จากธุรกิจโทรคมนาคมของเขาที่ถูกรัฐยึดไปคืนมา และยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะหาหนทางกลับบ้านเกิดมารับช่วงต่อจากน้องสาวของเขา

บทความนี้ได้เปรียบเทียบว่า ทักษิณ ไม่ต่างอะไรจากอดีตนายกรัฐมนตรีซิลวิโอ แบร์ลุสโกนี แห่งอิตาลี ที่ใช้ความสำเร็จด้านธุรกิจผลักดันตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ จากนั้นก็บิดเบือนนโยบายต่าง ๆ ให้เอื้อต่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเอง อย่างเช่นนโยบายจำนำข้าว ที่ไทยต้องจมอยู่กับประมาณข้าวในคลังจำนวนมหาศาลและเสียตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมองว่าภายหลังจากมีการประกาศยุติพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม มีการมุ่งเป้าความสนใจไปว่าทักษิณจะได้รับผลกระทบอะไรจากการชะลอร่างครั้งนี้บ้าง ซึ่งเพเสกมองว่าแท้จริงแล้วควรหันกลับมาวิตกกังวลว่าความวุ่นวายทางการเมืองได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากแค่ไหนเสียดีกว่า

“แทนที่นักการเมืองไทยและผู้กำหนดนโยบาย จะทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ที่จะพาทักษิณกลับบ้านให้ได้ ควรนำเวลาเหล่านั้นมาพัฒนาเศรษฐกิจประเทศให้ดีขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก และหาหนทางหลีกเลี่ยงกับดักชนชั้นกลาง เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชนชั้นกลางและล่างให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคงดีกว่า” เพเสกระบุ

ทั้งนี้ นายวิลเลียม เพเสกปิดท้ายว่า ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่สาธารณรัฐทักษิณจะลดความสนใจในเรื่องคนคนเดียว แล้วหันมาฟังเสียงและความต้องการของประชาชนกันได้แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น