“หมอนิรันดร์” ชี้นิรโทษกรรม “แม้ว” เหมารวมทุกคดี ขัดหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ ย้ำไม่ได้ช่วยให้ปรองดองกลับยิ่งเพิ่มความขัดแย้ง ระบุปล่อยคนผิดลอยนวล สังคมจะถลำลึกสู่ความรุนแรงไม่สิ้นสุด ด้าน “พิภพ” เชื่อหากกฎหมายล้างผิดผ่านไปได้ เกิดระบอบเผด็จการทรราชย์แน่ ลั่นถ้าไม่อยากตกหลุมดำทรราชย์ต้องออกมาชุมนุมอย่างสงบสันติ มั่นใจพลังประชาชนสามารถหยุดยั้งได้ พร้อมจี้ ปชป.ประกาศแนวทางปฏิรูปประเทศ แนะอย่าคิดสั้นแค่ต้านนิรโทษกรรมอย่างเดียว เพราะหากรัฐบาลยุบสภา คนไทยต้องอยู่ภายใต้กำกับ “ทักษิณ” ไปอีก 4 ปี
วันนี้ (30 ต.ค.) นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ทางเอเอสทีวี
โดย นพ.นิรันดร์ กล่าวถึง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า เป็นกระบวนการนิติบัญญัติที่ผิดหลักการ คือ หลักการกฎหมายวาระ แรกต้องการนิรโทษกรรมให้ประชาชนไม่รวมแกนนำ แต่เมื่อแปรญัตติผิดไปจากหลักการวาระแรก ถือว่าผิดกระบวนการ นอกจากนี้เห็นได้ว่าต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้มีโอกาสพ้นความผิด แต่ประเด็นนี้มีหลักการระหว่างประเทศ คือหลักที่จะไม่เกิดความคุ้มกันผู้ที่ต้องคดีอื่นนอกจากคดีการเมือง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณมีหลายคดีติดตัว ฉะนั้นจะเอากฎหมายนิรโทษกรรมนี้มาใทำให้พ้นผิดทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ
ที่สำคัญถ้าจะให้การนิรโทษกรรมนำไปสู่ความปรองดอง ต้องทำความจริงให้ปรากฎ ต้องเอาความจริงมาพูดคุยกันเพื่อให้เกิดการยอมรับที่ตรงกัน ดังนั้น พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้จะพบว่าความขัดแย้งไม่ได้หายไปยังดำรงอยู่ แล้วยังทำให้การเอาคนผิดมาลงโทษถูกขัดขวาง ซึ่งเราไม่ต้องการให้เกิดอาชญากรรมโดยรัฐซ้ำขึ้นอีก นี่คือหลักการ ว่านิรโทษกรรมจะนำสู่ความปรองดอง แต่นี่ไม่มีโอกาส แล้วยิ่งจะจุดชนวนความขัดแย้งมากขึ้น ยิ่งแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย สังคมจะถลำลึกสู่หลุมดำความรุนแรงไม่สิ้นสุด
ส่วนการอ้างมาตรา 30 ของรัฐธรรมนูญว่าเพื่อความเสมอภาคจึงต้องนิรโทษกรรมเหมารวมหมด อันนั้นเป็นการอ้างที่มั่ว ไม่เป็นความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิรโทษกรรมให้กับคนที่มีคดีอย่างอื่นติดตัว
นพ.นิรันดร์กล่าวอีกว่า การต้านของภาคประชาชนคราวนี้แรงต้านไม่ได้อยู่ที่การเมืองเพียงอย่างเดียว อย่างเช่นผู้ประท้วงราคายาง ก็เกิดจากปัญหาที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เป็นการต่อสู้เชิงนโยบายการจัดการทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ แต่รัฐบาลกลับมองว่าพวกนี้คือการเมืองฝ่ายตรงข้ามแล้วใช้ พ.ร.บ.มั่นคงควบคุม เมื่อรัฐบาลใช้อำนาจออกกกฎหมายความมั่นคง ยิ่งทำให้ลุแก่อำนาจมากขึ้น แรงต่อต้านจากประชาชนก็จะยิ่งมากขึ้น
ด้านนายพิภพกล่าวว่า รัฐบาลไม่คิดแก้ไขความขัดแย้ง แล้วมันจะขัดแย้งมากขึ้น จะนำไปสู่การเกิดระบอบทรราชย์ สังคมไทยต้องถามตัวเองว่าเห็นหลุมดำตัวนี้หรือไม่ แล้วจะอยู่กับมันอย่างไร ถ้าเห็นแล้วต้องออกมาคัดค้าน แต่ถ้าคัดค้านไม่พอ กฎหมายนิรโทษฯผ่านไปได้ ก็ต้องอยู่กับระบอบการปกครองซึ่งทำให้เกิดเผด็จการทรราชย์มาปกครองประเทศ
การคัดค้านเผด็จการทรราชย์ของไทยตั้งแต่อดีต ประชาชนต้องออกมาคัดค้าน ถ้าประชาชนไม่ออกมาเรือนแสนเรือนล้านก็จะไม่กดดันให้ทหารทำรัฐประหาร ฉะนั้นอย่าดูแคลนว่าพลังประชาชนไม่ได้เป็นตัวตัดสิน ตนว่าพลังประชาชนเป็นตัวตัดสิน แต่ต้องยอมรับว่าอาจมีการฉวยโอกาสยึดอำนาจแล้วทิ้งอุดมการณ์ของภาคประชาชนไป ซึ่งเห็นมาแล้วในอดีต
ถ้าไม่อยากอยู่หลุมดำต้องลุกขึ้นมาชุมนุมอย่างสงบและสันติ เท่านั้นเอง และอย่ากังวลว่าเตะหมูเข้าปากหมา แน่นอนมีหมามาคาบหมูอยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
นายพิภพกล่าวด้วยว่า ประชาธิปัตย์นัดชุมนุม คงเพราะรู้ในทางการเมืองแล้วว่าการดำเนินงานทางการเมืองแบบเดิมมันไปไม่ได้ ไม่สามารถจัดการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ ฉะนั้นประชาธิปัตย์ก็เริ่มบทบาทใหม่ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองริมถนนที่ปฏิเสธมาตลอด วันนี้รู้แล้วว่าต้องเคลื่อนไหวทั้งสองอย่าง แต่ปัญหาคือประชาธิปัตย์มีทิศทางอุดมการณ์คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างไร ยังไม่ชัดเจน บอกแค่ว่าจะต้านกฎหมายนิรโทษฯ แต่สังคมไทยไม่ได้ต้องการแค่นั้น แต่ต้องการปฏิรูปประเทศ ฉะนั้นต้องพูดให้ชัดว่ามีแนวคิดอย่างไร มิฉะนั้นประชาชนก็สงสัยว่าต้านกฎหมายนิรโทษกรรมแล้วไปต่ออย่างไร เพราะหากรัฐบาลใช้เกมยุบสภาเมื่อนั้นเราจะต้องอยู่ภายใต้กำกับของทักษิณไปอีก 4 ปี ประชาธิปัตย์ต้องคิดให้ยาว คิดเฉพาะหน้าอย่างเดียวไม่พอ
