xs
xsm
sm
md
lg

“พิภพ-พิชาย” ชี้ม็อบยังไม่มากพอโค่นระบอบทักษิณ แต่อย่าหยุดเคลื่อนไหว เชื่อสะสมพลังรอวันระเบิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“พิภพ” ชี้ “แม้ว” ลุยแก้กฎหมายล้างผิด กำลังพาสังคมสู่ระบอบทรราชย์ใหม่ เชื่อเป็นการนำตัวเองลงหลุมดำ เพราะประชาชนเริ่มตาสว่างมากขึ้น ด้าน “พิชาย” คาดพลังของม็อบตอนนี้ทำได้แค่ชะลอการเหลิงอำนาจของระบอบทักษิณ ยังไม่สามารถโค่นล้มได้ แต่หนุนให้เคลื่อนไหวอย่าหยุด เพื่อกระตุ้นพวกไทยเฉย มั่นใจสะสมพลังไปเรื่อยๆ วันหนึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลง



วันที่ 21 ต.ค. นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชชนเพื่อประชาธิปไตย และ รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV

โดยนายพิภพกล่าวว่า การเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย เป็นการประเมินแรงต้าน แล้วคงมั่นใจว่าทหารไม่ค้าน ตนเชื่อว่ารัฐบาลต้องการให้กฎหมายนี้ออกก่อน 11 พ.ย. เพราะไม่รู้ศาลโลกจะตัดสินอย่างไร แล้วกลัวทหารจะเปลี่ยนท่าที ถ้าไม่เสร็จก่อนถ้าเกิดผลตัดสินของศาลโลกให้ไทยแพ้ จะเป็นปัญหาลามปามไปหมด ทหารก็จะวางท่าทีแบบเดิมไม่ได้ ฉะนั้น ถ้ากฎหมายนิรโทษฯไม่ออกก่อน 11 พ.ย. รัฐบาลอาจลำบาก แต่สุดท้ายแล้วนายทักษิณต้องเอากฎหมายนี้ออกให้ได้ ถ้ามีปัญหาก็ยุบสภาหนี แล้วไปแก้ในสมัยหน้า ซึ่งตนก็เชื่อว่าผ่านได้ ไม่สมัยนี้ก็สมัยหน้า แล้วนั่นก็เท่ากับว่ากระบวนการยุติธรรมพังทลาย ฝ่ายนิติบัญญติลบล้างคำตัดสินของศาล แล้วการคานอำนาจในระบอบประชาธิปไตยก็จะไม่เกิดขึ้นแล้ว

นายพิภพกล่าวอีกว่า ต่อไปสังคมจะไปสู่ระบอบทรราชย์ใหม่ คือ ฝ่ายบริหารมีอำนาจสูงสุด ตุลาการทำอะไรไม่ได้ ซึ่งอาจต้องปล่อยให้สังคมไปสู่บอบทรราชย์ใหม่ ประชาชนคงตื่นตัวในตอนนั้น ส่วนเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะเรียกแขกให้ที่ชุมนุมอุรุพงษ์หรือไม่ตนไม่แนใจ เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นว่านายทักษิณเป็นทรราช แต่การรวบอำนาจเบ็ดเสร็จจะนำนายทักษิณเข้าสู่หลุมดำแน่นอน นั่นคือจุดจบของนายทักษิณเอง อย่างเสื้อแดงก็เริ่มเห็นแล้วว่านายทักษิณไม่ใช่ของจริง เอาเสื้อแดงเป็นแค่เครื่องมือ ฉะนั้นการเคลื่อนไหวภาคประชาชนต้องอย่าหยุด การเคลื่อนไหวเปิดโปงต้องทำต่อไป แต่อย่านำไปสู่การเสียเลือดเสียเนื้อ แม้ไม่ชนะเด็ดขาด แต่อย่างน้อยก็ทำให้คนตระหนักถึงปัญหามากขึ้น

ด้านนายพิชายกล่าวว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสะท้อนชัดว่านิติบัญญัติแทรกแซงศาลชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก กระบวนการของพรรคเพื่อไทย คือแก้มาตรา 190 ใจความหลักคือการสละอำนาจนิติบัญญัติให้ฝ่ายบริหารและริดรอนอำนาจประชาชน แก้ที่มา ส.ว.เพื่อรวบอำนาจ และออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมขจัดอำนาจศาล การออกกฎหมายกอำนาจนิติบัญญัติให้ฝ่ายบริหารเคยมีเฉพาะในเยอรมันสมัยฮิตเลอร์

พอนิรโทษกรรมผ่าน นายทักษิณมาเล่นการเมืองเบื้องหน้าแน่ แล้วก็จะมีการยกอำนาจฝ่ายบริหารให้นายทักษิณทั้งหมด ร่องรอยปรากฏชัดเจนว่าเป็นไปได้ที่จะนำไปสู่เส้นทางนั้น เป็นการสร้างระบอบเผด็จการ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมไทย

ส่วนกระแสต้านจะมีมากเพียงใด ขึ้นกับว่าประชาชนเข้าใจผลที่สืบเนื่องจากการออก พ.ร.บ.นิรโทษฯหรือไม่ว่าจะนำไปสู่อะไร ถ้าเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางก็เป็นไปได้ที่คนจะวิตกกับอนาคตตัวเองว่าต้องหยุดการใช้อำนาจตั้งแต่ตอนนี้ แต่ถ้าไม่สามารถดึงประชาชนออกมาได้ มันก็ยากที่จะต้านพลังของทักษิณได้

นายพิชายกล่าวต่อว่า การชุมนุมของฝ่ายต้านระบอบทักษิณทำได้อย่างมากก็ชะลอไม่ให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้อีกระยะหนึ่ง แต่คงไม่ถึงขั้นโค่นล้างได้

มวลชนที่อรุพงษ์ ตนประเมินบนฐานคิดที่ว่ามาด้วยตัวเอง ไม่มีการจัดตั้ง และดูจากการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่เคยชุมนุม คิดว่าเต็มที่ 5 หมื่นคน ถ้ามากกว่านี้ต้องมีการจัดตั้ง อาจมีได้ถึงกว่าแสนคน แต่ถ้าสมัครใจอย่างเดียวจะอยู่แค่หลักหมื่น หากผสมผสานยุทธวิธีของการนำ และมีมวลชยืนหยัดนานพอก็จะสกัดกั้นไม่ให้ทักระบอบทักษิณเดินหน้าไปอีกขั้น แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือโล่งใจว่าหยุดการเดินหน้าของระบอบทักษิณไว้ได้ แต่ข้อเสียคือเมื่อหยุดแล้วต่างฝ่ายก็มาพักรบ สะสมพลัง แล้วก็มีแนวโน้มว่าฝ่ายทักษิณจะสะสมพลังได้ดีกว่า เหมือนอย่างตอนรัฐประหาร 49 ที่นายทักษิณไปปรับยุทธวิธีมาต่อสู้ใหม่

แต่มวลชนก็ไม่ควรงอมืองอเท้า ควรเคลื่อนไหวตลอด เพื่อให้กระแสการคัดค้านออกไปอย่างกว้างขวาง หากทำไปถึงจุดที่ไทยเฉยเพราะเบื่อหน่ายการเมืองออกมาได้ กระตุ้นให้ไทยเฉยเพราะไร้เดียงสา มีเดียงสาทางการเมืองขึ้นมาได้ ก็จะมีความหวัง ฝ่ายประชาชนไม่เคยตาย รอสะสมพลังไว้ แต่เมื่อไหร่ตอบไม่ได้ อาจเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาก็ได้ ฉะนั้นต้องไม่สิ้นหวัง ต่อสู้ต่อไป จะเปลี่ยนแปลงได้สักวัน ส่วนวันไหนก็อยู่ที่ประชาชนทั้งหลาย


กำลังโหลดความคิดเห็น