xs
xsm
sm
md
lg

“เต้น” ย้อนกิจการ ส.ส.ปชป.อารยะขัดขืนหรือไม่ บี้ถอนประกัน “เทือก” โวทิ้งบทอำมาตย์ลุย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์(แฟ้มภาพ)
“ไพร่เทียม” สวน “สุเทพ” ขอ ปชช.ทำงานอย่าหยุดงานอารยะขัดขืน ชี้กิจการ ส.ส.ปชป.หยุดงาน เลี่ยงภาษีหรือไม่ ขู่ไม่เสียภาษีเจอค่าปรับ ขอ ปชช.อย่าทำตามชาติเสียหาย อ้างแดงร่วมฝูงพูดความจริง ปัดปะทะ ย้ำชัดม็อบ ปชป. ปัดกังวลไม่รุนแรง เย้ยไม่ใช่ รบ.มาร์ค มีสไนเปอร์ เชื่อยืดเยื้อลุ้นศาลไปเรื่อย มั่นใจไม่กระทบรัฐ จี้อัยการส่ง “สุเทพ” ฟ้องศาลหลังพ้น ส.ส. ต้องถอนประกันแบบ “เจ๋ง” โวจำเป็นก็ทิ้งคราบอำมาตย์ลุย ท้า ปชป.ประกาศชุมนุมไม่นำสู่รัฐประหาร



วันนี้ (12 พ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศอารยะขัดขืน 4 ประการ ว่าตนก็ขอประกาศเหมือนกันว่าตั้งแต่วัน 13-15 พ.ย.และทุกวัน ขอให้เป็นวันทำงานตามปกติ พนักงานเอกชน นักศึกษา ข้าราชการ พ่อค้า ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ความขัดแย้งทางการเมืองก็ว่ากันในสนามการเมือง อย่าให้ลุกลามบานปลาย และตัวผู้ประกาศต้องแสดงความชัดเจน ให้สื่อมวลชน สังคมไปตรวจสอบว่ากิจการของคนในพรรคประชาธิปัตย์มีการหยุดงานจริงตามที่ประกาศตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย.หรือไม่ เช่นกิจการในเครือศรีสุบรรณฟาร์มของนายสุเทพ กิจการในเครือคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กิจการในเครือของกลุ่มทุนที่มีลูกหลานและสมาชิกอยู่ในพรรค และต้องตามดูว่ากิจการในเครือข่ายคนในพรรคนั้นได้งดเว้นการเสียภาษีเหมือนที่ประชาชนยุยงหรือไม่

“โดยเฉพาะทุกวันที่ 15 ของทุกเดือนจะเป็นการกำหนดชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์ของนิติบุคคลที่ขึ้นทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะนิติบุคคลที่ไม่ได้เสียภาษีต้องจ่ายค่าปรับ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศผลกระทบจะเกิดกับเอกชนและนิติบุคคลอื่นๆ อย่าทำเลย” นายณัฐวุฒิกล่าว

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นหากเป็นการต่อสู้ในเกมการเมืองภายใต้กรอบกติการะหว่างพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน ตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่เวลานี้ฝ่ายค้านมีเจตนาที่ชัดเจนว่าต้องการล้มรัฐบาล มีการปลูกระดม ประกาศมาตรการต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วจะทำให้ประเทศเสียหาย ขอให้พี่น้องประชาชาได้ใช้วิจารณญาณ วันนี้มองไปข้างหน้าเราเห็นอะไร เห็นประเทศไทยในปี ค.ศ. 2020 หรือปี ค.ศ. 2030 หรือเราเห็นประเทศไทยในปี พ.ศ. 2549 ที่มีการปฏิวัติรุนแรง เกิดการรัฐประหาร เกิดการต่อสู้ต่อต้าน และเกิดความเสียหายกับประชาชน ถ้ามองไปถึงอนาคตข้างหน้าก็ให้การเมืองเดินไปตามกติกา ซึ่งตนเชื่อว่าคนไทยทุกคนไม่มีใครประสงค์จะฉุดดึงประเทศให้ถอยหลังเข้าสู่วิกฤติความขัดแย้งเหมือน 7 ปีที่ผ่านมาอีกแล้ว

“ขอย้ำอีกครั้งว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องแสดงความชัดเจน ใครมีกิจการอะไรแถลงให้ชัดว่าจะหยุดงานเหมือนที่ยุยงประชาชนหรือไม่ จะหยุดเสียภาษีเหมือนที่ยุยงประชาชนไหม ขณะเดียวกันสังคมนี้เป็นทุนนิยม ผมก็ขอประชาสัมพันธ์ให้นิติบุคคลต่างๆ ที่ประกอบธุรกิจแบบเดียวกันหรือใกล้เคียงกันกับพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องจับตามอง หากเขาหยุดงานจริงๆ แม้ว่าจะเสียหาย ก็จะกลายเป็นโอกาสของท่านในการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มผู้ค้า และธุรกิจก็ต้องเดินหน้า ซึ่งในวิกฤติก็เป็นโอกาสของคู่แข่งรายอื่นก็ได้ แต่เจตนาจริงๆ อย่าทำเลยเพราะจะเสียหายในภาพรวม” นายณัฐวุฒิกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เงื่อนไขที่นายสุเทพ พยามยามพูดถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดง ท่าทีในฐานะแกนนำ นปช.จะมีการประเมินสถานการณ์อย่างไร นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงก็เพื่อที่จะพูดความจริงในสถานการณ์นี้ ต้องไม่ลืมว่าสังคมไทย ถ้ามีฝ่ายใดพูดหรือใส่ร้ายป้ายสีอยู่เพียงฝ่ายเดียวผู้คนก็อาจจะเผลอใจเชื่อ และเมื่อกลายเป็นความเชื่อแล้ว ก็ยากที่จะอธิบายข้อเท็จจริงได้ นี้เป็นความพยายามเท่านั้นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเห็นว่าความเคลื่อนไหวนี้ต้องการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำลายกระบวนการประชาธิปไตย ก็เป็นหน้าที่ที่จะออกมาปกป้อง แต่จะไม่ใช้ความรุนแรง ไม่มีการเผชิญหน้า อย่างที่การชุมนุมเมื่อวันที่ 10 พ.ย.เดิมที่ได้ติดต่อที่สนามศุภชลาศัย แต่มีคนทักว่าใกล้กับที่ชุมนุมของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ย้ายไปชุมนุมที่เมืองทองธานี และเมื่อคืนวันที่ 11 พ.ย.ก็ไปตั้งหลักที่ จ.ขอนแก่น วันนี้ (12 พ.ย.) ไปตั้งที่ จ.เชียงใหม่ ห่างกัน 600-700 กิโลเมตร คงไม่ยกพลมาตีกันง่ายๆ

เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ ที่จะมีการตั้งเวทีชุมนุมในกรุงเทพฯ แกนนำ นปช.กล่าวว่า เราต้องประเมินสถานการณ์ เราอยากจะให้เรื่องนี้ใช้กลไกของระบอบประชาธิปไตยในการแก้ปัญหา พรรคฝ่ายค้านไม่กี่วันก็จะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนปิดสมัยประชุมสภาอยู่แล้ว แล้วเอาทุกเรื่องที่อยู่บนเวทีไปว่ากันในสภา เพราะไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีทั้งคณะอยู่แล้ว แต่ว่ามีเจตนาชัดคือไม่ไว้วางใจก็จะยื่น แต่เวทีก็จะเอา ก็เลยให้นายสุเทพและ ส.ส.จำนวนหนึ่งลาออกเพื่ออธิบายว่ามันแตกต่างกัน แล้วก็เดินทั้งสองแบบทั้งในและนอกสภาเท่านั้นเอง

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ประเมินสถานการณ์หลังจากนี้อย่างไร นายณัฐวุฒิกล่าวว่า คงจะมีความพยายามยกระดับกันทุกวัน ตนยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่าการชุมนุมนี้เรียกอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเรียกว่า ม็อบประชาธิปัตย์ แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะพยายามใส่เสื้อคลุมล่องหนเพื่อปิดบังตัวเอง แล้วจดใส่บัญชีไว้ ว่าม็อบประชาธิปัตย์ยุยงไม่ให้คนเสียภาษี ยุยงให้คนหยุดงาน โค่นล้มรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งโดยร่วมมือกับกลไกอำนาจนอกระบบทั้งหลาย

เมื่อถามว่า รัฐบาลกังวลหรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เราไม่ได้กังวล แต่เห็นว่าสถานการณ์ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แล้วต้องประเมินจากข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะเป็นสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน แต่ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลไม่มีแนวทางที่จะใช้ความรุนแรง ไม่มีแนวทางจะใช้กำลัง อาวุธกับประชาชนที่ชุมนุมแต่อย่างใด ส่วนที่นายสุเทพพยายามจะพูดว่ามีสไนเปอร์เตรียมจะลอบสังหาร ขอให้นายสุเทพตื่นจากความฝัน อย่าคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังไทยเล่นบทเผชิญอันตราย สะเทือนใจแล้วคนจะตกใจไปด้วย ในรัฐบาลชุดนี้ไม่คิดทำ ถ้าเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็เคยเห็นมาแล้วว่าทำแน่ๆ

ส่วนการชุมนุมจะยืดเยื้อไปอีกนานหรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เขาต้องการยืดเยื้ออยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็หวังให้ยืดเยื้อไปจนถึงวันที่ 20 พ.ย.แล้วไปลุ้นเอาว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไร ก็ลุ้นเป็นศาลๆ ตั้งแต่ลากการชุมนุมมาถึงวันที่ 11 พ.ย. แต่เมื่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินแล้วเอามาขยายผลทางการเมืองไม่ได้ ก็มาลุ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะพิจารณาว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว. เป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ต่อ

เมื่อถามว่า หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินในทางลบ จะนำมวลชนออกมาปกป้องรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนนึกไม่ออกเลยว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินทางลบในกรณีนี้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นรอให้เกิดขึ้นแล้วมาว่ากันอีกที

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลลุ้นไหมว่าจะกระทบต่อเสถียรภาพ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า รัฐบาลมั่นใจว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจหน้าที่โดยชัดแจ้งของรัฐสภา การที่บอกว่าประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งส.ว. ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าจะเป็นการล้มล้างเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดังนั้นตนมั่นใจว่า ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็จะไม่มีปัญหากับรัฐสภา รัฐบาลอย่างแน่นอนเพราะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าพรรคประชาธิปัตย์เขาเลือกที่จะลุ้นศาลต่างๆ สุดท้ายก็ไปลุ้นที่ศาลพระภูมิ

นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า ตนคิดว่าเจ้าพนักงานอัยการต้องพิจารณาแล้ว ว่าแต่เดิมที่นัดนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพไปรายงานตัวในข้อหาร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จากเหตุการณ์สลายการชุมนุม นปช. เพื่อส่งฟ้องต่อศาลในวันที่ 12 ธ.ค. เพราะอยู่ในช่วงสมัยประชุม แต่ขณะนี้นายสุเทพลาออกแล้วสถานะ ส.ส.ก็หมดสิ้น แล้วภายใต้สถานการณ์แบบนี้อัยการก็มีความเห็นสั่งฟ้องไปแล้ว ตนก็คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องรอช้า ก็สามารถจะนำตัวผู้ต้องหาชื่อนายสุเทพ ส่งฟ้องต่อศาลได้ทันที และเมื่อส่งฟ้องต่อศาลก็ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมหลักฐานทั้งหมดและไปยื่นคัดค้านการประกันตัว เพราะจากแนวปฏิบัติกับนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ขึ้นปราศรัยและพูดถึงหมายเลขโทรศัพท์ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและครอบครัว ก็มีการถอนประกัน นายก่อแก้ว พิกุลทอง แถลงข่าวว่าอาจจะมีคนไปกระทำบางอย่างกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีมีการถอนประกัน ซึ่งตนก็เคารพการวินิจฉัยของศาล แต่ตอนนี้นายสุเทพ ซึ่งถูกสั่งฟ้องคดีบงการสั่งหารประชาชน ที่ปลุกระดมหนักขึ้นทุกวัน เราอยากจะเห็นบรรทัดฐานกระบวนการยุติธรรมว่าสถานการณ์แบบนี้ นายสุเทพ จะได้รับอนุญาตให้ได้รับการประกันตัวหรือไม่

เมื่อถามว่า ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่จะลาออกจาก ส.ส.และรัฐมนตรี แล้วมาเป็นแกนนำ นปช.เพื่อออกมาปกป้องรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพราะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ก็ลาออกแล้ว แกนนำ นปช.กล่าวว่า ลาออกคนละเหตุผลกัน ที่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออก เป็นการลาออกด้วยท่วงทำนองสุนัขจิ้งจอกทางการเมือง เจ้าเล่ห์ พยายามที่จะทำให้ขาดระหว่างพรรคกับม็อบเท่านั้นเอง ซึ่งจริงๆ ตัดไม่ขาด

“ผมได้กราบเรียนนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน ว่าถ้าผมประเมินว่าสถานการณ์จำเป็น ผมก็จะลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่ แล้วไปทำหน้าที่ต่อสู้ปกป้องระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ผมประเมินเอง ประเมินทุกวัน ทุกนาที แล้วผมขอบอกพรรคประชาธิปัตย์ว่าไม่ต้องมาเรียกร้องอะไรจากผม เพราะไม่ได้มีหน้าที่มาทำตามใจพรรคประชาธิปัตย์” แกนนำ นปช.กล่าว

นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ประกาศให้ชัดว่าการชุมนุมนี้จะไม่นำไปสู่การรัฐประหาร และถ้ามีการรัฐประหารจะต่อต้านทันทีที่เกิดขึ้น ไม่ใช่พอเกิดรัฐประหารก็มาแถลงข่าวว่าไม่เห็นด้วยจากนั้นก็อยู่เฉยๆ เพื่อรอรับส้มหล่นเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็บอกแล้วว่าอยากจะแช่แข็งประเทศ 3 ปี ประชาธิปัตย์ก็ไม่มีท่าทีปฏิเสธเรื่องนี้ ดังนั้นนี้คือกระบวนการเดิมทั้งระบบ ซึ่งไม่เลือกวิธีการที่จะล้มรัฐบาลแม้ว่าจะเป็นวิธีการของระบอบเผด็จการก็ตาม


กำลังโหลดความคิดเห็น