“อลงกรณ์” รับ “ทักษิณ” วิเคราะห์ปฏิรูป ชปช.ถูก แต่ประเมินผิด ระบุปฏิรูปคืบหน้ามากและจะเสร็จภายในปีนี้ ชูยุทธศาสตร์เอาชนะ พท. ปรับรูปแบบ 3 ด้านครบวงจร ผนวกจุดยืนยึด ปชต. ทำเพื่อส่วนรวม ต้านโกง พร้อมแจง 13 ข้อปฏิรูปการบริหารจัดการใหม่ไฉไลกว่าเดิม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 24 ต.ค. นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ทวิตเตอร์ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณวิเคราะห์ถูก แต่ประเมินผิด วิเคราะห์ถูกว่าการปฏิรูประบบบริหารจัดการไม่พอต้องปฏิรูปความคิดและวัฒนธรรมองค์กร รวมทั้งจุดยืนต้องยึดมั่นประชาธิปไตย และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ประเมินผิดว่าการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งตนก็อยากให้คุณทักษิณเชื่อเช่นนี้ตลอดไป เพราะการประเมินคู่แข่งต่ำคือความประมาท ขณะที่ตนไม่เคยประเมินคู่แข่งคือพรรคเพื่อไทยต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะประชาธิปัตย์แพ้ พ.ต.ท.ทักษิณในการเลือกตั้งทั่วไป 4 ครั้งติดต่อกันตั้งแต่ปี 2544
นายอลงกรณ์ระบุต่อว่า แนวทางการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นการปฏิรูปแบบองค์รวม 3 ด้านครบวงจร คือ ปฏิรูปโครงสร้าง-ปฏิรูประบบบริหารจัดการ-ปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กรและบุคลากร จุดยืนของการปฏิรูป ปชป.คือยึดมั่นประชาธิปไตย ยึดประโยชน์ส่วนรวม ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบและต่อต้านคอร์รัปชันโดยมียุทธศาสตร์คือชนะใจประชาชน
“แม้การปฏิรูปจะยากในช่วงแรกซึ่งเป็นธรรมดาของพรรคประชาธิปัตย์ องค์กรขนาดใหญ่ที่มีอายุยาวนาน 68 ปี แต่วันนี้การปฏิรูปคืบหน้ามากและจะเสร็จภายในปีนี้”
นายอลงกรณ์โพสต์ด้วยว่า แนวคิดการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งบนพื้นฐานการมองปัญหาเชิงโครงสร้างและระบบต่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยังมองไปที่ “คน” ซึ่งเป็นมุมมองบริหารแบบเก่ายุค 1.0 โครงสร้างและการบริหารจัดการที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพปรับวิธีคิดเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรเป็นสถาบันการเมืองจะทำให้เรามีโอกาสชนะพรรคเพื่อไทยมากขึ้น ขณะพรรคประชาธิปัตย์ไต่บันไดสูงขึ้น ทั้งการปฏิรูปพรรคและเดินหน้าวาระประชาชน 2.0 แต่รัฐบาลเพื่อไทยกำลังถอยลงเพราะบริหารล้มเหลว ทุจริต และติดกับปัญหาทักษิณ อย่างไรก็ตาม คำสัมภาษณ์ของคุณทักษิณถือเป็นความท้าทายสำหรับการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ว่าต้องทำให้ได้ ขอใช้ภาษิตไทยที่ว่า ศัตรูคือยากำลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในวันเดียวกันนี้ นายอลงกรณ์ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงโครงสร้าง และการบริหารจัดการใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ หลังการปฏิรูป ดังนี้...
(1) ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จะได้รับร่างข้อบังคับใหม่เพื่อศึกษาก่อนประชุมร่วมกับคณะกรรมการบริหาร 29 พ.ย. และประชุมใหญ่ปลาย ธ.ค.เลือกคณะกรรมการบริหารใหม่
(2) โครงสร้างใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย คณะกรรมการกลางพรรค, คณะกรรมการบริหาร, คณะกรรมการปฏิบัติการพื้นที่ (โซน), สมัชชาประชาชน, คณะกรรมการนโยบาย, คณะกรรมการส่งเสริมประชาธิปไตย
(3) สำนักงานงานใหญ่พรรค ประกอบด้วย สน.อำนวยการ, สน.นโยบาย, สน.ยุทธศาสตร์และการสื่อสาร, สน.ระดมทุน, สน.พัฒนาการมีส่วนร่วม, สน.กิจการเยาวชน, สน.หัวหน้าพรรค
(4) แต่ละสำนักงานมี ผอ.เป็นนักบริหารมืออาชีพภายใต้การบริหารของ ผอ.พรรคในกำกับของเลขาธิการ ส่วน สน.นโยบาย และ สน.ยุทธศาสตร์ฯขึ้นตรงกับหัวหน้าพรรค
(5) หัวหน้าพรรคและรองหัวหน้าพรรค (รองหัวหน้าภารกิจ-รองหัวหน้าภาค) มีสำนักอำนวยการหัวหน้าพรรคเป็นหน่วยสนับสนุนการทำงาน และมีหน่วยงานดูแลการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
(6) การปฏิรูปโครงสร้างและระบบบริหารจัดการของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้เหมือนการรีเอนจิเนียริงเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
(7) โครงสร้างและระบบใหม่ทำให้มีสาขาพรรคและคณะกรรมการโซนครอบคลุม 375 เขตเลือกตั้งทำงานร่วมกับ ส.ส.และผู้สมัครของพรรคโดยมีนโยบายใหม่ๆ นำเสนอพรรคประชาธิปัตย์
(8) การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเห็นมิติใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์และนโยบายดีมีคุณภาพสำหรับประเทศและประชาชนพร้อมการบริหารแบบมืออาชีพทันสมัยฉับไวยึดมั่นประชาธิปไตย
(9) ในการเลือกตั้งครั้งหน้าถ้าเราเพิ่มได้อีก 60 ที่นั่ง ปชป.จะเป็นพรรคใหญ่สุดโดย 15 ที่นั่งมาจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ 45 ที่นั่งมาจาก ส.ส.เขต
(10) 6 เดือนนับแต่การจุดประกายปฏิรูปพรรคผ่านการโต้แย้งถกเถียงจนถึงวันนี้วันที่หัวหน้าพรรคและคณะกก.บห.พรรคเห็นชอบเดินหน้าปฏิรูปพรรคอย่างจริงจัง
(11) ส่วนแนวทางการทำงานทางการเมืองรวมทั้งการกำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธีใหม่จะเป็นหน้าที่ของคณะกก.บห.ชุดใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้งปลายปีนี้
(12) ช่วงเปลี่ยนผ่าน 2 เดือน นับจากนี้ของพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นห้วงเวลาที่ท้าทายของพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดของประเทศในการก้าวข้ามอดีตสู่อนาคตใหม่
(13) จุดเปลี่ยนของพรรคประชาธิปัตย์จะก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนของการเมืองไทยและสร้างจุดเปลี่ยนสำหรับประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ขอโอกาสให้กับพรรคประชาธิปัตย์