ผ่าประเด็นร้อน
ถ้าจะบอกว่าเป้าหมายสูงสุดของการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามความต้องการของ ทักษิณ ชินวัตร ในเวลานี้ก็คือการแก้ไขในประเด็นที่มาของวุฒิสมาชิก (ส.ว.) ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดนี่แหละ เพราะนอกจากถือว่าสามารถดำเนินการได้รวดเร็วทันใจ สามารถเร่งวันเร่งคืนให้เป็นไปตามต้องการได้ตลอดเวลา ดีกว่าไปยกร่างแก้ไขใหม่ทั้งฉบับ เพราะนอกจากล่าช้าแล้ว ในระยะยาวอาจควบคุมเป้าหมายปลายทางตามต้องการไม่ได้
ที่สำคัญการเลือกแก้ไขเฉพาะที่มาของ ส.ว.นั้นคุ้มค่าและมีแต่กำไร เพราะแทบไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย เพราะเพียงแค่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ตอบแทนกับบรรดา ส.ว.ที่ยกมือสนับสนุน และยอมเข้ามาเป็น “ขี้ข้า” พร้อมกับการันตีสำหรับการได้รับการเลือกตั้งเข้ามาใหม่อีกรอบ ทุกอย่างก็ผ่านฉลุยอย่างที่เห็น
ในความหมายสำหรับ ทักษิณ ชินวัตร สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องการ “เดินสุดซอย” ก็น่าจะเป็นประเด็นนี่แหละ
แน่นอนว่าหากพิจารณากันแบบผิวเผินการกำหนดให้ สว.ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจฟังดูเท่ ชวนเคลิบเคลิ้มในบรรยากาศประชาธิปไตย ที่เสียงปวงชนคือเสียงสวรรค์ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ในท่ามกลางความรอบรู้ของชาวบ้านที่เป็นอยู่ การเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยการทุจริตซื้อเสียง ข่มขู่คุกคาม เราถึงได้ “นักต้มตุ๋น” อย่าง ทักษิณ ชินวัตร นายทุนขี้ฉ้อมาเป็น “วีรบุรุษประชาธิปไตย” อย่างที่เห็นไงล่ะ
ขณะเดียวกัน ในเนื้อหาสาระสำคัญก็คือแก้ไขให้พวก ส.ว.ต่างตอบแทนไม่ต้องเว้นวรรคสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ต่อเนื่องกันไปเลย รวมทั้งจะเร่งรัดให้มันวันครบวาระในเดือนมีนาคมปีหน้าอีกด้วย
อย่างไรก็ดี สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร สิ่งที่เขาต้องการก็คือต้องการยึดครองวุฒิสภา เหมือนกับที่ได้ครอบครองสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว เพราะรับรู้กันอยู่แล้วว่าอำนาจของวุฒิสภานั้นกว้างขวางเพียงใด นอกจากทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายแล้ว ยังทำหน้าที่ในการอนุมัติแต่งตั้ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง องค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)เป็นต้น หมายความว่าต่อไปนี้หากแก้ไขสำเร็จวุฒิสภาซึ่งมีอำนาจกว้างขวางก็จะไม่ต่างจากสภาผู้แทนราษฎร สภาพของ “สภาทาส” หรือสภาขี้ข้า ที่เคยเป็นในยุคที่ สุชน ชาลีเครือ เป็นประธานวุฒิสภา ก็จะกลับมาอีกครั้ง หรืออย่างน้อยในปัจจุบันในยุคของ นิคม ไวรัชพานิช ก็กำลังเห็นภาพชัดเจนขึ้น และมีแนวโน้มหนักกว่าเดิม “หน้าด้าน” กว่าเดิม
ด้วยผลแห่งอำนาจ “เบ็ดเสร็จ” รออยู่ข้างหน้าไม่ไกล ก็ยิ่งทำให้เขาต้องสั่งให้บรรดา “ขี้ข้า” และว่าที่ขี้ข้าทั้งหลายเดินหน้าเต็มกำลัง กล้าชนทุกสถาบัน ท้าทายศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องรอผลชี้ขาดกรณีที่ศาลรับคำร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว.ดังกล่าวมีเจตนาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯหรือไม่ พร้อมทั้งสั่งให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของตัวเองรีบนำร่างแก้ไขที่ผ่านการโหวตจากรัฐสภานำขึ้นทูลเกล้าฯ ให้ทรงลงพระปรมาภิไธย ไปแล้วเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยไม่สนใจว่านี่คือการกดดันพระเจ้าอยู่หัว ทั้งที่กฎหมายมีมลทิน ยังมีปัญหาทางกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะพิจารณาตีความชี้ขาดออกมา
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องพิจารณาตามมาก็คือ หากไม่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมาตามกำหนดจะต้องมีการลงมติยืนยันขึ้นไปอีกครั้งหรือไม่ ซึ่งในลักษณะแบบนี้ยังไม่เคยมีธรรมเนียมปฏิบัติมาก่อน อย่างไรก็ดีการนำขึ้นทูลเกล้าฯดังกล่าวมีเจตนาท้าทายใครหรือไม่ เพราะมีเสียงทักท้วง มีการยื่นหนังสือระงับยับยั้งให้ชะลอเอาไว้ชั่วคราวเพื่อให้รอความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญเอาไว้ก่อน แต่ก็ไม่ฟังเดินหน้าลุยลูกเดียว
ดังนั้น ถ้าจะพิจารณาให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาของ สว.ถือว่าเป็นวาระสำคัญที่สุดของ ทักษิณ ชินวัตร อย่างน้อยก็ในกรณีเฉพาะหน้าที่เป็นอยู่ เพราะหากยึดวุฒิสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทุกอย่างก็จะอยู่ในกำมือ นี่แหละถึงได้บอกว่าต้องเดินหน้าชน ท้ารบทุกสถาบันไงล่ะ!!