เกาะกระแส
00 จะเรียกว่า "ปากกล้าแต่ขาสั่น"ก็ได้สำหรับ สส.พรรคเพื่อไทย และ สว.ขี้ข้าที่ร่วมโหวตแก้ไขรธน.เกี่ยวกับที่มา สว. จนผ่านวาระสามไปตามคาดหมาย แต่ขั้นตอนหลังจากนี้สิมันชวนให้ต้องหวาดผวาจนขนหัวลุกได้ตลอดเวลา เพราะถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว อีกทั้งเลยขั้นตอนประเภท "ความผิดโดยประมาท"ไปแล้ว แต่จะเป็นแบบ "จงใจ" เพราะก่อนหน้านี้มีเสียงเตือนก็แล้ว ขู่ก็แล้วว่าอย่าเพิ่งโหวตให้รอศาลรธน.ชี้ออกมาก่อน เพราะศาลได้รับเรื่องตีความจากบรรดา สส.และ สว.ที่คัดค้านไปแล้วว่าเป็นการแก้ไขมิชอบ มีเจตนาล้มล้างการปกครอง ฯ แต่ก็ไม่ฟัง แถมพวกหัวโจก อย่างประธานวุฒิสภา นิคม ไวรัชพานิช ที่ค้อมกายอยู่ใต้เกือกแม้วไปแล้ว กล่าวท้าทาย"ท้ารบ"ศาลรธน.จน"ได้ใจนาย"ไปแล้ว จนนาทีนี้หากวัดกันไม่รู้ว่ากับ ประธานสภาผู้แทนฯ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ใครจะทุเรศกว่าใคร เพราะฝ่ายหลังถือว่า "มาแรง"แซงทางโค้งจริงๆ
00 ส่วนตัว นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นี่แหละถือว่าหนักหนาสาหัสที่สุด เพราะในฐานะนายกฯต้องนำร่างที่ผ่านการโหวตดังกล่าวนำขึ้นทูลเกล้าฯตามข้อกำหนดกม.ภายใน 20 วัน แต่ปัญหาก็คือมันเป็นร่างที่มีมลทิน มีความด่างพร้อย แล้วยังนำขึ้นทูลเกล้าฯเหมือนกับเป็นการกดดันพระเจ้าอยู่หัว แล้วปัญหาที่จะตามมาอีกก็คือหากไม่มีการส่งกลับลงมาแล้ว นายกฯจะทำอย่างไร จะกวาดต้อนพวกข้าทาสบริวารโหวตกันใหม่เพื่อยืนยันแล้วทูลเกล้าฯขึ้นไปใหม่อย่างนั้นหรือ หลับตาเห็นภาพไม่อยากคิด
00 หากจะพิจารณากันตามความเป็นจริง ทุกอย่างล้วนเป็นความประสงค์ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องการยึดวุฒิสภาอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อให้การแก้ไขกม.การอนุมัติแต่งตั้งบุคคลในองค์กรอิสระอยู่ในกำมือ กลายเป็นว่าทั้งสภาผู้แทนฯและวุฒิสภาล้วนเป็น"สภาชิน" ไม่ต่างจากข้าทาสบริวาร หรือลูกจ้างในครอบครัวไม่มีผิด อย่างไรก็ดีถ้าพิจารณาจากจำนวนตัวเลขจำนวนมือตามคณิตศาสตร์ ก็คงไม่มีใครเถียง ยกมือกี่ครั้งก็ชนะทุกครั้ง แต่คำถามก็คือจะผ่านด่านศาลรธน.ไปได้อย่างไร และถ้าศาลรธน.ชี้ว่าการแก้ไขรธน.ในประเด็นดังกล่าวมิชอบด้วยกม.หรือว่ามี "เจตนาล้มล้างการปกครองฯ"นายกฯจะรับผิดชอบอย่างไร เพราะถึงแม้ว่าจะถูกมองว่า "ไม่ฉลาด"อย่างไรก็ตาม แต่รายการแบบนี้ถึงคิดเองไม่ได้ ก็ต้องมีคนสะกิดให้คิดอยู่แล้ว ถึงได้บอกว่า มันน่า "สยดสยอง"จริงๆ
00 ในสถานการณ์ตอนนี้ต้องบอกว่าเริ่มเข้าสู่ช่วงลำบากของ "ระบอบทักษิณ" อย่างเห็นได้ชัดแล้ว เพราะสิ่งที่ ทักษิณ และเครือข่าย"หลอกต้ม"ใช้ทำมาหากินกับชาวบ้านคนยากคนจนมาตลอดก็คือ "เป็นกูรูด้านเศรษฐกิจ " สร้างภาพให้เห็นว่าเมื่อตัวเองรวย เมื่อเข้ามาสู้เส้นทางอำนาจทางการเมืองแล้วก็ไว้ใจได้ต้องทำให้บรรดา "รากหญ้า"ทั้งหลายต้องอยู่ดีกินดี สามารถ "เสกเงิน"ให้เพิ่มในกระเป๋าได้แน่ และที่ผ่านมา ทักษิณ ก็มักจะโม้แบบนี้มาตลอด ซึ่งในช่วงแรกก็ได้ผลเมื่อเปรียบเทียบกับความ "เชื่องช้า"ของรัฐบาล ชวน หลีกภัย ของปชป.ในยุคนั้น ประกอบกับกำลังเจอกับวงรอบเศรษฐกิจในช่วงขาขึ้น หลังจากผ่านวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อ ปี 40 แม้วก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม ใช้เงินงบประมาณหว่านแหลก เศรษฐกิจที่เริ่มดีอยู่แล้วเมื่อมาเจอกับการกระตุ้นเพิ่มเข้าไปอีกมันก็ยิ่งอู่ฟู้ในระยะสั้นก็ต้องเห็นภาพเศรษฐกิจเติบโต ชาวบ้านมีเงินจับจ่ายกันสนุก
00 แต่เมื่อใดก็ตามที่ "เศรษฐกิจโลก" ภายนอกซบเซา อย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้นั่นแหละ เกิดขึ้นเมื่อใด ประเทศไทยที่ต้องพึ่งพาการส่งออกเกินกว่าร้อยละ 70 ก็ถึงคราวเดี้ยงอย่างที่ห็น และเมื่อมาเจอกับความมักง่ายของ "ประชานิยม" คิดแต่ซื้อเสียงล่วงหน้า ส่งเสริมให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ส่งเสริมให้คนเป็นหนี้ ทั้งรถคันแรก บ้านหลังแรก ค่าแรงวันละสามร้อยบาทเหมือนกันทั่วประเทศทุกพื้นที่มองฉาบฉวยก็เห็นว่าดีคนจนมีรายได้เพิ่ม เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เอาเข้าจริงผลออกมาตรงกันข้าม กลายเป็นว่าทำให้ของแพง คนเป็นหนี้ไม่มีเงินเหลือจ่ายซื้อสินค้า ทำให้เศรษฐกิจชะงัก และอาจเป็นครั้งแรกๆที่ "หม่อมอุ๋ย" ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรมว.คลังพูดโดนใจ รวมไปถึง อดีต รมว.คลังคนกันเองอย่าง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่เหยียดหยามทีมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ รมว.คลัง กิตติรัตน์ ณ ระนอง คู่ใจนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า "มือไม่ถึง"ก็เห็นจะจริง พูดแบบนี้อีกก็ถูกอีกวันยังค่ำนั่นแหละ !!