ผ่าประเด็นร้อน
หากไม่มีอะไรหรือมี "ข้อมูลใหม่"มาเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามกำหนดที่บรรดา "กุนซือ"ข้างกายทั้งหลายอย่างเช่น เลขาธิการนายกรัฐมนตรี สุรนันทน์ เวชชาชีวะ บอกใบ้มาให้ได้ยินว่า ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ก็จะเป็นวันที่ นายกรัฐมนตรีนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภาที่ผ่านการลงมติของที่ประชุมรัฐสภาขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
ถ้าเป็นไปตามนั้นจริงนั่นก็หมายความว่า ทุกอย่างกำลังเดินไปสู่"คิลลิงโซน" นับจากนี้ไปหากพิจารณาแบบรวบรัดตัดความรับรู้เพียงแค่ว่า นายกฯได้ดำเนินการตามกระบวนการมาตรา 151 ซึ่งบรรดากูรูทางกฎหมายก็ระบุว่ามีขั้นตอนดำเนินการภายใน 90 วัน ซึ่งยังมีการคาดหมายกันว่าระยะเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาชี้ขาดในกรณีที่รับคำร้องของบรรดา สส.-สว.ที่ให้ตีความว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นดังกล่าวขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เป็นการทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่ากระบวนการพิจารณาน่าจะอยู่ในช่วงภายใน 90 วันเช่นเดียวกัน ซึ่งตามปฏิทินก็จะเป็นช่วงสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า
อย่างไรก็ดีนั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีว่าจะเลือกนำขึ้นทูลเกล้าฯในวันที่ 1 ตุลาคมตามที่บรรดาคนใกล้ชิดส่งสัญญาณออกมาให้เห็นก่อนหน้าหรือเปล่า แต่ถ้าเลือกวิธีการชะลอ โดยอ้างเอาสาเหตุที่มี สว.คณะหนึ่งยื่นเรื่องไปถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อยับยั้งการยื่นทูลเกล้าฯตามมาตรา 154 วรรคสอง เพื่อให้นายกรัฐมนตรียื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นดังกล่าว
สรุปให้เข้าใจง่ายก็คือ ถ้านายกฯเดินหน้านำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯนั่นก็หมายความว่านายกฯยิ่งลักษณ์กำลัง"จงใจเล่นกับไฟ" แต่ถ้าผลออกมาในทางกันข้ามนั่นคือไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯแต่เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อความชัดเจนเสียก่อน ก็จะไม่เสี่ยง และบ้านเมืองก็ไม่เสี่ยง"ลุกเป็นไฟ" ก็ต้องรอลุ้นกันในวันนี้(1ตุลาคมนี้) ซึ่งพิจารณาจากอารมณ์ที่ผ่านมาของคนในพรรคเพื่อไทย คนในรัฐบาลต่างยืนยันตรงกันให้ "เดินหน้าเต็มกำลัง" และประกาศชัดเจนว่า "ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ" ไม่ว่าจะเป็นประธานรัฐสภา สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และประธานวุฒิสภาทำหน้าที่รองประธานรัฐสภา นิคม ไวรัชพานิช และแน่นอนว่าคนพวกนี้ได้รับไฟเขียวจาก "นาย"คือ ทักษิณ ชินวัตร ให้เต็มที่ไปเลย
และนี่คือความหมายของคำว่า "เดินสุดซอย" ที่ ทักษิณ ชินวัตร เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากผลของการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาของ สว.ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าหากทำสำเร็จ เพราะอำนาจของวุฒิสภานั้นกว้างขวางมาก นั่นคือนอกจากทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายแล้ว ยังทำหน้าที่ในการเห็นชอบแต่งตั้งบุคคในศาล เช่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง กกต.และปปช.เป็นต้น หากต่อไปวุฒิสภากลายเป็น"สภาผัว-เมีย"กลายเป็น "ขี้ข้า"เต็มรูปแบบไม่ต่างจากสภาผู้แทนราษฎรในปัจจุบัน มันจะมีความหมายอะไร แต่นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของ ทักษิณ ชินวัตร เขาละ และนี่อาจเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของคนในครอบครัวนี้ไปแล้วก็ได้ เพราะถ้าเลือกในประเด็นอื่น หรือแม้แต่การแก้ไขในมาตรา 291 เพื่อนำไปสู่การตั้ง สสร.มาร่างใหม่ทั้งฉบับ มันช้า แถมไม่ทันการณ์ ดีไม่ดียิ่งนานไปอาจกระแสเบี่ยงเบนกลายเป็นกระแสปฏิรูปฯควบคุมไม่ได้อีก สู้แก้ไขในประเด็นที่ต้องการแบบนี้ดีกว่าได้กำไรเกินร้อยเปอร์เซ็นต์และนำไปสู่การยึดครองทุกอย่างได้อย่างเบ็ดเสร็จ ในเวลาอันรวดเร็วนั่นเอง
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากขุมกำลังเท่าที่เครือข่าย ทักษิณ มีอยู่ในเวลานี้ถือว่า พร้อมเต็มพิกัดและกระเหี้ยนกระหือรือกันเต็มที่ โดยเฉพาะ"กล้าดี"ที่จะท้าชนทุก "สถาบัน" โดยเฉพาะกับศาลรัฐธรรมนูญที่มีนัยสำคัญคือ "กระทำในพระปรมาภิไธย"ของพระเจ้าอยู่หัว การที่กฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่า "คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร" แต่การที่ทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา ประกาศ "ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ"มันก็ย่อมมองเห็นอนาคตได้ดีว่าคนพวกนี้ได้รับไฟเขียวจากใคร เพราะคนพวกนี้มีความหมายไม่ต่างจาก "ขี้ข้า" คงไม่กล้าเหิมเกริมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแน่นอน
สำหรับนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้นแม้ว่าโดยสติปัญญาส่วนตัวคงไม่กล้าคิดอะไรใหญ่โตแบบนี้ด้วยตัวเอง แต่นั่นก็เชื่อว่ามีความหมายในทางเดียวกัน และคำถามก็คือการที่นำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังมีข้อโต้แย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาอยู่ว่า "ขัดกฎหมายหรือไม่"แต่ไม่ฟังกลับน้ำขึ้นทูลเกล้าฯให้ทรงลงพระปรมาภิไธย เสมือนเป็นการกดดันพระองค์ท่าน และยังนำร่างกฎหมายที่"มีมลทิน"ขึ้นทูลเกล้าฯ นอกจากนี้หากเกิดกรณีที่"ไม่ส่งคืนกลับมาตามกำหนด"นายกรัฐมนตรีจะทำอย่างไร จะเดินหน้าลงมติยืนยันอย่างนั้นหรือ
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่า ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นที่มาของทุกเรื่องที่่กล่าวมาต้องการใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ และนี่คือคำตอบและความหมายของคำว่า "สุดซอย" ต้องการท้ารบทุกสถาบัน เพราะนาทีนี้เชื่อว่ามีศักยภาพพร้อมเปิดเกมรุกเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามได่อย่างเต็มตัวแล้ว !!