ผ่าประเด็นร้อน
ถ้าจะบอกว่าไม่ได้เหนือความคาดหมายกับคำพูดของ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ที่เปิดเผยล่าสุดว่า เนื้อหาใน 5 ข้อเสนอของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลุ่ม “บีอาร์เอ็น” ที่ทางการไทยกำลังเจรจาอยู่นั้นยังรวมถึงข้อเสนอจัดตั้ง “เขตปกครองพิเศษ” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเลขาธิการสภาความมั่นคงผู้นี้บอกว่ายังเร็วเกินไป ยังไม่ได้ตอบรับหรือไม่รับ เพราะต้องรอให้หลายฝ่ายพิจารณาร่วมกันเสียก่อน ที่สำคัญต้องฟังความเห็นจากคนไทยด้วย
อย่างไรก็ดี จากคำพูดดังกล่าวย่อมสะท้อนท่าทีจากตัวแทนฝ่ายรัฐบาลที่เห็นหัวหน้าคณะเจรจาก็คือ “มีความเป็นไปได้สูงยิ่ง” ที่จะยอมให้มีการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษตามข้อเสนอของกลุ่มบีอาร์เอ็น ซึ่งที่ผ่านมาเขาเคยมีการพูดถึงมาบ้างแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่มีจังหวะที่จะพูดหรือเปิดเผยออกมาอย่างจริงจังให้เป็นเรื่องเป็นราว
ที่สำคัญก็คือกลัวว่าจะเกิดแรงต่อต้านจากคนไทยทั่วประเทศ จนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามมาอีกด้วย ทำให้กระบวนการเจรจาสันติภาพที่มีการ “วางแผน” สมคบคิดไว้เอาไว้จะสะดุดล่มลงเสียก่อน
หากจำกันได้ว่าการเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็นครั้งนี่อยู่ภายใต้การประสานงานและอุปถัมภ์ของ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค เป็นคนออกมาเปิดเผย อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากความเป็นจริงและศักยภาพของกลุ่มบีอาร์เอ็นในสถานการณ์ปัจจุบันในพื้นที่ชายแดนใต้ถือว่ากลุ่มดังกล่าวได้ “ตกยุค” ไปแล้ว ไม่มีอิทธิพลชี้นำกำหนดการเคลื่อนไหวกับกลุ่มติดอาวุธและมวลชนได้เลย ดังนั้นจึงถูกมองว่าเป็นการ “เชิดกลุ่มบีอาร์เอ็น” ให้มาเจรจาเพื่อหวังผลทางการเมืองในพื้นที่ ไม่ต่างจากการ “สร้างภาพทางการตลาด” ที่กลุ่มเครือข่ายทักษิณมักนำมาใช้ควบคู่กับการบริหาร การใช้อำนาจรัฐอยู่เสมอ
แต่ในสถานการณ์พื้นที่ชายแดนใต้ที่ละเอียดอ่อน มีเรื่องความเชื่อ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์เข้ามาเป็นเงื่อนไข ประกอบกับการไม่ทบทวนบทเรียน ทำให้เกิดความล้มเหลวสร้างบาดแผลมาตั้งแต่ยุคที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดปัญหากรณีกรือเซะ-ตากใบ จนสถานการณ์ลุกลามลุกเป็นไฟมาจนถึงทุกวันนี้ และจนกระทั่งมีการ “ปาหี่” จัดฉากเจรจา ขณะที่ปัญหาในพื้นที่รุนแรงขึ้นทุกวันจนอำนาจรัฐแทบจะควบคุมไม่ได้ ไม่ได้มีแนวโน้มเกิดผลเป็นรูปธรรม ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายรัฐโดยเฉพาะเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร กลับทำตัวไม่ต่างจากโฆษกของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มนี้เสียอีก
หากย้อนกลับไปพิจารณาแบ็กกราวนด์ของแต่ละฝ่ายว่าล้วนแล้วแต่คนกันเอง อยู่ใน “เครือข่าย” ของ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น เริ่มจากกลุ่มบีอาร์เอ็นก่อน ไม่กี่ปีที่ผ่านมาคนกลุ่มนี้แหละที่มี “ฮัสซัน ตอยิบ” เป็นแกนนำ ได้สร้างความพิศวงงงงวยมาแล้วหลังจากได้แถลงข่าวทางทีวีของกองทัพบกยุติความรุนแรงมาแล้ว ซึ่งคราวนั้นอู่ภายใต้การประสานงานของ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ว่ากันว่ากำลังคั่วเก้าอี้สำคัญในตอนนั้น ถัดมาก็เป็น เลขาฯสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ท.ภราดร รวมไปถึงเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง คนพวกนี้มีภาพลักษณ์ไม่ต่างจาก “เด็กในบ้าน” ของทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น และหากประมวลเหตุการณ์เพิ่มเติมก่อนหน้านี้ก็จะสังเกตได้ว่า ฮัสซัน ตอยิบ คนนี้เคยประกาศลาออกผ่านทางโซเชียลมีเดียมาแล้ว แต่ทางการไทยกลับไม่เชื่อ ความหมายก็คือไม่ต้องการให้ลาออก เพราะถ้าลาออกย่อมหมายถึงความล้มเหลวในการเจรจา และนั่นย่อมหมายถึงวามล้มเหลวของทักษิณ ชินวัตร ในฐานะผู้อุปถัมภ์ในการกำหนดเกมคราวนี้ด้วย
ขณะเดียวกัน ถ้าวิเคราะห์กันถึงแรงผลักดันที่จะให้เกิด “เขตปกครองพิเศษ” ในพื้นที่ชายแดนใต้ ที่ถือว่าเป็นปลายทางของการเจรจาที่กำลังดำเนินการกันอยู่นั้น สำหรับ “ระบอบทักษิณ” อาจเรียกได้ว่า “วิน-วิน” เพราะถ้าพิจารณาจากความล้มเหลวในการแก้ปัญหาที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ จนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ดังนั้น หากเปรียบเทียบกับการบริหารบริษัทเมื่อธุรกิจประเภทไหนขาดทุน ก็ต้อง “ขายทิ้ง” และหากเทียบกับชายแดนใต้ที่ตัวเองล้มเหลวก็ต้องเสนอให้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ และโปรโมตกลุ่มบีอาร์เอ็นที่เป็นเครือข่ายของตัวเองขึ้นมาให้มีบทบาทนำ แม้ว่าจะ “เกินจริง” แต่ด้วยอำนาจรัฐเกื้อหนุนก็ยังเชื่อว่าเดินหน้าไปได้ ในอนาคตสามารถเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันได้โดยตรง โดยเฉพาะการแบ่งปันในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติด้านพลังงานในบริเวณนั้น
ขณะที่ฝ่ายมาเลเซียก็ต้องบอกว่าแฮปปี้ อยากให้เกิดรูปแบบการปกครองดังกล่าวอยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมา นายกฯมาเลเซียเคยเสียมารยาทเสนอให้ไทยจัดตั้งเขตปกครองพิเศษโดยตรงมาแล้ว และเวลานี้มาเลเซียได้เขยิบฐานะจากเป็นผู้อำนวยความสะดวก กลายมาเป็น “ผู้สังเกตการณ์” ไปเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นในอนาคตหากยังมีการเจรจากันระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยที่มี พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เป็นหัวหน้า มีทักษิณ ชินวัตร เป็น “ไอ้โม่ง” ชักใยอยู่ข้างหลังแบบนี้รับรองได้ว่าอีกไม่นานก็จะมีการประกาศข้อตกลง “เขตปกครองพิเศษ” ในพื้นที่ชายแดนใต้ เฉือนอธิปไตยของไทยออกไปอีกพื้นที่หนึ่งอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าในเวลานี้ไม่มีจังหวะที่เหมาะสม แต่ก็ได้ส่งสัญญาณออกมาให้เริ่มรับรู้เป็นระยะแล้ว!!