หน.ปชป.เผยลูกพรรคจ่อยื่นแปรญัตติร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เชื่อลุกลี้ลุกลน ไม่ฟังเสียงท้วงติง ปัด “ปู่พิชัย” ร่วมปาหี่ปฏิรูปฯ เป็นสิทธิ์ แต่อ้างเป็นตัวแทนพรรคไม่ได้ เชื่อไม่ร่วมวงสังคมเข้าใจ เตือนรัฐเจรจาโจรใต้อย่าหวังผลการเมือง หลังคุยบีอาร์เอ็นจบเห่ แนะ อสส.ยื่นฎีกา คดียิงวัดพระแก้ว
วันนี้ (9 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติรับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระ 1 แล้ว ว่า การทำงานของพรรคในสภาก็จะเน้นเรื่องการแปรญัตติให้เกิดความชัดเจน ให้เกิดการจำแนกกลุ่มผู้กระทำความผิด และกลุ่มบุคคลที่จะได้รับการนิรโทษกรรมไม่ให้เสียหลักการของบ้านเมือง และใช้โอกาสนี้ให้ได้เห็นประเด็นที่เป็นปัญหามากขึ้น ซึ่งขณะนี้สมาชิกของพรรคส่วนหนึ่งก็ได้เริ่มทำคำแปรญัตติแล้ว ส่วนตนก็เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอยู่แล้ว ซึ่งคาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมกรรมาธิการนัดแรก ส่วนกิจกรรมของพรรคก็จะเน้นการเผยแพร่ข้อมูลให้ได้รับทราบจากการพิจารณาในวาระที่ 1 และสิ่งที่จะทำในวาระที่ 2 นอกจากนั้นก็จะมีกิจกรรมที่จะเชิญชวนประชาชนให้สามารถสะท้อนความคิดเห็นหรือแสดงการคัดค้านกฎหมายดังกล่าวในรูปแบบต่างๆ
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่าจะใช้เวลา 2 เดือนกฎหมายดังกล่าวก็สามารถประกาศใช้ได้นั้น เราก็เห็นว่ามีความพยายามที่จะรีบทำอยู่แล้ว เพราะเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมาก็มีการเสนอญัตติปิดประชุมสภากลางคัน ทั้งที่มีการอภิปรายค้างอยู่ ซึ่งตนก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งนี้ตนเป็นห่วงว่าการที่รัฐบาลไม่รับฟังข้อท้วงติด หรือความเห็นต่าง แต่พยายามเดินหน้าในสิ่งที่ตัวเองต้องการเป็นหลัก ทั้งนี้ตนสงสัยว่าเหตุใด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เข้าร่วมประชุมสภาทั้ง 2 วัน จึงไม่แน่ใจว่าเป็นการหลีกเลี่ยงการลงคะแนนหรือไม่ ซึ่งก็ต้องถามนายกฯ ว่าเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนจนไม่สามารถมาร่วมประชุมสภาได้คืออะไร
“เชื่อว่าเขาคงผลักดันแน่เพราะดูพร้อมที่จะทำทุกอย่าง ไม่ฟังเสียงท้วงติงทั้งภายในภายนอก แต่ก็เริ่มเห็นแล้วว่าบางเรื่องที่ทักท้วงไปก็เริ่มมีการพิจารณา อาทิ การกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทั้งนี้ต้องรอดูบรรยากาศการประชุมกรรมาธิการก่อน เพราคงจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าการทำงานในกรรมาธิการจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ผมยืนยันว่าพวกเราจะทำเต็มที่ และต้อชี้แจงประชาชนหากมีการหยิบยกประเด็นสำคัญขึ้นมา แล้วไม่พิจารณาก็ยิ่งเป็นการฟ้องตัวเองว่าเป็นการผลักดันกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงหลายๆ อย่าง ซึ่งหากเดินหน้าไปอย่างนี้เรื่องๆ ปัญหาความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็เป็นประเด็นอยู่แล้ว” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนกรณีที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และนายวราเทพ รัตนากร รมว.ประจำสำนักนายกฯ เดินสายไปพบกับนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเชิญเข้าร่วมเวทีปรองดองปฏิรูปการเมืองนั้นว่า นายพิชัยก็มีสิทธิ์ใช้ดุลพินิจของตัวเอง ส่วนที่วิจารณ์ว่าพรรคประชาธิปัตย์ขัดขวางความปรองดองนั้น เป็นเรื่องที่ไม่จริง เพราะในการประชุมสภา ตนและ ส.ส.ของพรรคได้อภิปรายชัดเจนว่า นายกฯบอกให้ทุกอย่างมาพูดในสภา แต่พอ ส.ส.ฝ่ายค้านเข้าสภานายกฯ ก็ไม่อยู่ และไม่มาตอบคำถามว่าอะไรคือความจำเป็นเร่งด่วนในการพิจารณากฎหมายนี้ทั้งที่เพียงแค่เลื่อนกฎหมายนี้ออกไป แล้วทุกฝ่ายมาหารือหาทางออกให้ประเทศไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การที่นายพิชัยออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับพรรค เพราะมีการวิเคราะห์แล้วว่าคงจะมาแนวนี้ ซึ่งจะเอานายพิชัยมาอ้างเป็นตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ เพราะท่านไปในส่วนของอดีตประธานสภา
เมื่อถามว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เข้าร่วมวงเสวนาปฏิรูปการเมืองนั้น จะกลายเป็นถูกโดดเดี่ยวทางการเมืองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนเชื่อว่ามีคนจำนวนมากที่มีจุดยืนสอดคล้องกับสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์แสดงออก และก็มีคนไม่เห็นด้วยก็เป็นเรื่องปรกติ ซึ่งไม่ว่าเราจะเข้าร่วมหรือไม่รัฐบาลก็คงเดินหน้าอยู่แล้ว เพราะท่าทีที่ผ่านมาก็ไม่มีการรับฟังฝ่ายค้าน ทั้งนี้หากไม่มีการคุยในเรื่องที่เป็นความขัดแย้งก็ไม่สามารถขจัดความขัดแย้งได้ จะบอกว่ามีปัญหาแต่คุยได้ทุกเรื่องยกเว้นตัวปัญหานั้นก็แก้ปัญหาไม่ได้
“ผมยังไม่เห็นการตั้งโจทย์ที่ชัดเจน แต่หากจะมีการตั้งโจทย์แล้วไปลงเอยที่การแก้รัฐธรรมนูญเราก็ไม่แปลกใจ เพราะเป็นขั้นต่อไป หลังจากเรื่องนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการกลับไปเหมือนเดิม ตั้งเงื่อนไขประเทศว่าสุดท้ายต้องไปจบลงตรงนั้น เพราะเขายืนยันอย่างนี้มาโดยตลอด จึงอยากให้คนที่เข้าร่วมสังเกตตรงนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าจะทำไม่สำเร็จเพราะผมไม่เชื่อว่าหลักการที่อยู่บนความไม่ถูกต้อง และตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มเดียวจะทำได้อย่างราบลื่น ซึ่งสุดท้ายสังคมส่วนใหญ่ จะมองเห็นว่าการรักษาสมดุล และความถูกต้องจะสำคัญกว่า” นายอภิสิทธิ์กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวถึงกรณีกลุ่มบีอาร์เอ็นปล่อยคลิปล้มโต๊ะการเจรจากับฝ่ายไทยนั้นว่า ทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาลต้องกำหนดท่าทีให้ชัด และต้องแสดงจุดยืนเพื่อกำหนดแนวทางการทำงานต่อไป เพราะเราต้องรู้ก่อนว่าการถอนตัวนั้นแค่ตัวบุคคล หรือถอนทั้งองค์กร หรือล้มเลิกกระบวนการนี้ ซึ่งรัฐบาลต้องมาประเมินสิ่งที่ผ่านมาว่าเหตุใดหลังจากการพูดคุย 5-6 เดือนจึงกลายมาเป็นถึงจุดนี้ ส่วนที่กลุ่มบีอาร์เอ็นเสนอให้รัฐบาลพิจารณา 5 ข้อเสนอที่เคยพูดไปก่อนหน้านี้นั้น เราเตือนตั้งแต่ต้นว่าไม่คัดค้านการพูดคุย แต่ที่มาของการพูดคุยใน 6 เดือนที่ผ่านมาเริ่มต้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลมาเลเซีย ทำให้เกิดกระบวนการนี้ขึ้น เพื่อหวังผลทางการเมืองระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ส่วนกลุ่มบีอาร์เอ็นเมื่อเข้ามาสู่โต๊ะเจรจาแล้ว ก็ใช้เวทีนี้โฆษณาตัวเอง และทำให้ปัญหายกระดับเป็นที่รับรู้ทั่วโลก ซึ่งบีอาร์เอ็นบรรลุเป้าหมายเขาแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ควรเป็นบทเรียนรัฐบาลว่าหากอยากพูดคุยให้เกิดสันติภาพจริงควรจะต้องเปลี่ยนแปลงเจรจาอย่างไร
“ตอนนี้ยังทันที่จะตั้งหลัก เราอย่าไปถลำลึกในสิ่งที่เห็นว่าจะเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต ขอให้กลับมาตั้งหลักให้ดี หากจะมีกระบวนการพูดคุย ก็ต้องตกลงให้ชัดเรื่อง รูปแบบ วิธีการ ตัวผู้เจรจา อย่าให้ซ้ำรอยกับที่ผ่านมา” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องจำเลยในคดียิงอาร์พีจีใส่อาคารกระทรวงกลาโหมนั้นว่า ตนยังไม่เห็นรายละเอียดคำพิพากษา แต่ก็ต้องปล่อยให้เป็นตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ตนคิดว่าอัยการควรจะยื่นฎีกาในคดีนี้ เพราะเป็นคดีที่เกิดความเสียหาย และกระทบกระเทือนกับส่วนรวมอย่างมาก และศาลชั้นต้นตัดสินลงโทษสูงมาก ดังนั้นคดีนี้ก็ควรดำเนินการให้ถึงที่สุด โดยยื่นฎีกา หากไม่มีการยื่นฎีกาก็จะเป็นปัญหาว่า หากต่อไปมีความเคลื่อนไหว โดยอ้างแรงจูงใจทางการเมืองก็สามารถทำผิดอย่างนี้ได้ ก็เท่ากับบ้านเมืองไม่มีกฎหมาย