หน.ปชป.ชี้วิปรัฐดันนิรโทษฯ เป็นไปตามคาด บ้านเมืองจะวิกฤตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯ แนะหันไปแก้ปัญหาให้ประชาชนก่อน ขณะเดียวกันจี้ชี้แจงข้อมูลสารตกค้างในข้าว ตรงไปตรงมา สร้างความเชื่อมั่น ลดเกวียนละหมื่นสอง ชาวนาได้เพียงตันละพัน อีกด้านแนะรัฐอย่าเร่งด่วนสรุปเหตุการณ์ไฟใต้ จี้ควรจำแนกเหตุการณ์ตามจริง
วันนี้ (25 ก.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ตัดสินใจนำกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสภาเป็นอันดับแรกว่าเป็นไปตามที่ตนคาดไว้ และเป็นการบ่งบอกว่าขณะนี้รัฐบาลเดินหน้าเต็มสูบ เพราะเป้าหมายที่แท้จริง คือการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนเดียวที่จะตัดสินว่าจะนำบ้านเมืองเข้าสู่ความขัดแย้ง หรือจะหันมาแก้ปัญหาปากท้องประชาชน ก่อน เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับประชาชนน่าจะเป็นเรื่องของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ แต่สุดท้ายแล้วเรื่องการเมืองก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของรัฐบาลนี้ ซึ่งเป็นการเมืองของคนเพียงกลุ่มเดียวที่มีความต้องการที่จะได้รับการนิรโทษกรรม โดยที่การพยายามนิรโทษกรรมคนจำนวนมากโดยไม่คำนึงถึงหลักของบ้านเมือง ก็จะทำลายตัวระบบกฎหมายต่อไป เพราะยังไม่มีหลักประกันความมั่นใจว่า จะไม่มีการพ่วงฉบับอื่น สอดแทรกเรื่องอื่นเข้าไปด้วย ทั้งที่การที่หาทางออกในลักษณะที่เป็นจุดร่วมนั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์เองก็ได้มีการนำเสนอไปแล้ว แล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นทางออกที่จะนำไปสู่การปรองดองได้ แต่ก็กลับถูกปฏิเสธ
ส่วนที่ทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ระบุว่าการเอากฎหมายฉบับนี้เข้าสภาจะไม่เป็นการสร้างความขัดแย้ง แต่จะเป็นการคลี่คลายความขัดแย้ง โดย นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อ้างว่ากระทรวงมหาดไทย ทำการสำรวจคน 75,000 คนบอกให้นิรโทษกรรม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่เชื่อ เรื่องการไปสำรวจความคิดเห็นอะไรต่างๆ เพราะดูจากแหล่งอื่นๆ ก็ไม่มีตรงไหนที่บ่งบอกว่าเป็นลักษณะเช่นนั้น ยกเว้นว่าไปตั้งคำถามในลักษณะที่ทำให้เกิดความชี้นำในทางที่จะรองรับความต้องการของตัวเอง ทั้งนี้ตนก็ยังยืนยันว่าขัดแย้งแน่นอน ซึ่งหากมีการผลักดันกฎหมายเข้าสภา พรรคก็ต้องมีการปรึกษากัน แต่ยืนยันว่าจุดยืนของพรรคไม่เปลี่ยน และเราก็จะต้องคัดค้านให้ถึงที่สุด ซึ่งเราทำเต็มที่ ส่วนจะอยู่หรือไม่อยู่เดี๋ยวต้องดูกัน
“เราแสดงความห่วงใยมาโดยตลอด และเคยเตือนรัฐบาลว่า อย่าไปประมาท แล้วคิดว่ามีเสียงข้างมาก ทำอะไรก็ได้ หรือแม้กระทั่งมีมวลชนฝ่ายหนึ่งสนับสนุน แล้วทำอะไรก็ได้ จริงๆ รัฐบาลมีหน้าที่แก้ปัญหาให้กับส่วนรวม ไม่ใช่สร้างปัญหา ทางออกมันมีถ้าไม่เอาประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาหลักการของบ้านเมือง เอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ซึ่งทั้งหมดอยู่ที่นายกฯ อยู่ที่รัฐบาล ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นผู้ที่ตัดสินใจได้ ว่าจะไม่เอาบ้านเมืองเข้าสู่ความขัดแย้ง แล้วมาแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนก่อน อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุง ออกมาประกาศว่า หากบริโภคข้าวถุงของสมาชิกในสมาคม และเสียชีวิตจากสารเมทิลโบรไมด์ จะได้รับค่าชดเชย 20 ล้านบาทนั้น ว่า เรื่องนี้คงเป็นความพยายามของเอกชนที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่น แต่ความเชื่อมั่นที่ดีที่สุด คือการชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาของรัฐบาล แต่ตนรู้สึกไม่สบายใจว่าการชี้แจงของรัฐบาลนั้น ดูจะไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผล เพราะมีการมาพูดให้เกิดความสับสนเกี่ยวกับตัวสารเมทิลโบรไมด์ หรือโบรไมด์ไอออน ซึ่งเป็นสารที่ไปตรวจเจอกันก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่รัฐบาลอ้างว่า สารที่พบในข้าวนั้นยังไม่มีการศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพ หรือหากศึกษาอาจจะเป็นสารที่มีประโยชน์นั้นทำให้คนสับสน ทั้งที่รัฐบาลต้องพยายามที่จะให้ความจริงกับประชาชน โดยข้าวถุงที่มีสารปนเปื้อนไม่เกิน ก็ต้องให้ความมั่นใจกับประชาชนว่าปลอดภัย ส่วนที่เกินก็บอกได้ว่าจริง
“หากยิ่งทำแบบไม่อยู่กับแนวทางที่ถูกต้อง ก็ยิ่งทำให้คนไม่เชื่อมั่น จึงควรจะทำให้ตรงไปตรงมาดีกว่า เพราะในเมื่อตอนนี้ก็มียี่ห้อเดียวที่ตรวจแล้วมีปัญหา ส่วนจะแก้ไขอย่างไรนั้น ตนว่าเขาก็ร่วมมือแก้ไขอยู่แล้ว ซึ่งหากทำอย่างนี้จะเรียกความเชื่อถือกลับมาได้ดีกว่า พูดให้มันสับสนนั้น มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับใครเลย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลพยายามปรับราคารับจำนำลดลงเหลือตันละ 12,000 บาทนั้น ซึ่งรัฐบาอ้างว่าจะทำให้รัฐบาลขาดทุนเพียง 70,000 ล้านบาท แต่ตัวเลขที่รัฐบาลเคยใช้บอกว่า หากไม่มีโครงการจำนำข้าว ชาวนาก็จะขายข้าวได้ในราคาตันละ 11,000 บาท ซึ่งก็แปลว่าตอนนี้รัฐบาลจะให้ชาวนาเพิ่มตันละ 1,000 บาท หากมีข้าวประมาณ 30 ล้านตัน สรุปก็คือ ชาวนาจะได้ 30,000 ล้านบาท จากเงินที่รัฐบาลอ้างว่าจะขาดทุน 70,000 ล้านบาท ทั้งนี้ตนเห็นว่าไม่เป็นการแก้ปัญหา เพราะว่าสิ่งที่เรียกร้องไม่ใช่ให้รัฐบาลไปลดผลประโยชน์ให้กับชาวนา แต่รัฐบาลกำลังทำโครงการซึ่งมันใช้เงินสิ้นเปลือง ไปไม่ถึงชาวนา ซึ่งอันนี้คือประเด็นหลักที่รัฐบาลจะต้องหาคำตอบให้ได้
นอกจากนี้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีคนร้ายลอบวางระเบิดรถสายตรวจรอง สวป.สภ.จะแนะ และรถข้าราชการครูโรงเรียนพิทักษ์วิทยากูมุง ที่บริเวณถนนหน้าโรงพยาบาลจะแนะ จ.นราธิวาสนั้น ว่า ต้องเริ่มต้นจากเรื่องของการประเมินทุกอย่างตามความเป็นจริง เพราะวันนี้ยังไม่มีใครบอกได้ว่าตกลงความรุนแรงเท่าเดิม หรือลดลง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ต้องมีระบบวิธีการในการประเมิน แต่จะบอกว่าไม่มีเหตุแล้ว และก็เหตุทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาความไม่สงบคงพูดไม่ได้ ส่วนที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.ภาค 4) ออกมาสรุปเหตุการณ์ครึ่งเดือนรอมฎอน ว่า จากความไม่สงบ 20 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียง 4 เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงนั้น ตนว่าอย่าเพิ่งไปบอกว่าเป็น ไม่เป็น ตามเงื่อนไข เพราะการจำแนกว่ากรณีไหนเกี่ยว ไม่เกี่ยว กับสถานการณ์นั้น ก็ขอให้ว่าตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็อยากให้มีการทำเป็นระบบ แต่จะกังวลว่าจะเสียภาพไม่ได้
“แนวทางการทำงานก็คือ ก็ต้องคุยกับทางบีอาร์เอ็น อย่างเมื่อวานนี้หน้าโรงพยาบาล ก็ต้องถามบีอาร์เอ็นว่า คุณคิดว่าใครทำ ถ้าบีอาร์เอ็นบอกว่าไม่เกี่ยวกับพวกเขา คำถามต่อไปก็คือแล้วคิดว่ากลุ่มไหนทำ และกลุ่มนั้นเขาจะมาคุยด้วยหรือไม่ ถ้ากลุ่มนั้นเขาจะมาคุยด้วยก็เอามาคุย ถ้ากลุ่มนั้นไม่มาคุยก็ต้องถามต่อว่า แล้วผมคุยกับคุณ คุยกันจนจบ แล้วกลุ่มนี้เขาทำต่อ บ้านเมืองสงบหรือไม่ ซึ่งมันต้องลำดับให้เห็นไปสู่เป้าหมายสุดท้าย แล้วเราก็จะสามารถที่จะได้คำตอบว่า มันควรจะเป็นอย่างไรต่อไป” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนได้ลงพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นพื้นที่ปกติไม่ได้มีปัญหา แต่ที่น่าสนใจคือศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงมาก ด่านชายแดนคึกคัก มีนักท่องเที่ยวมากมาย ฉะนั้นตนคิดว่ากรณีรวม อ.สะเดา ในพื้นที่เจรจาด้วยนั้น หากรัฐบาลยังเพิกเฉยอยู่ ไม่มีการทำหนังสือไปแก้ไขชี้แจงว่าตกลงตรงนี้ไม่เกี่ยว ก็จะเป็นปัญหาที่ยังค้างคาอยู่ ซึ่งคนในพื้นที่ทุกคนก็พูดเหมือนกันว่าอย่าเอาตรงนั้นไป เพราะเขาก็กังวลว่ามันจะขยายวง และการที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่ทุกคนทราบดีว่ามีความสำคัญอย่างไร