สองนักวิชาการเกียรติคุณทีดีอาร์ไอ ระบุใบเสร็จทุจริตจำนำข้าวอยู่ที่รัฐบาล เพราะเป็นผู้ขายข้าวขาดทุนเอง กุมข้อมูลไว้เอง คนอื่นไม่มีใครรู้ ป่วยการสั่งอนุกรรมการปิดบัญชีฯ มอบหลักฐาน จี้ “ยิ่งลักษณ์” สั่งหน่วยงานรัฐส่งต้นขั้วใบเสร็จระบายข้าวให้ ป.ป.ช. หรือตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนทุจริต แล้วนำเสนอรายงานต่อรัฐสภาโดยเร็ว ดักคอพาณิชย์ อ้างความลับทางการค้าฟังไม่ขึ้น เพราะข้าวส่วนใหญ่ขายหมดแล้วและขายในประเทศ
เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา เว็บไซต์สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้เผยแพร่บทความของนายนิพนธ์ พัวพงศกร และนายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณของทีดีอาร์ไอ ในหัวข้อ “ใครต้องโชว์ใบเสร็จทุจริตจำนำข้าว” โดยมีใจความสำคัญสรุปได้ว่า กรณีนายกรัฐมนตรีบอกว่า ถ้า น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวมีข้อมูลการทุจริตข้าวทุกระดับ ให้ส่งหลักฐานเข้ามาพร้อมดำเนินคดีจนถึงที่สุด แต่ในวันต่อมา รัฐมนตรีกระทรวงการคลังกลับสั่งให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่ น.ส.สุภา ไปให้ข้อมูลโครงการรับจำนำข้าวต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจวุฒิสภาว่าโครงการรับจำนำข้าวมีความเสี่ยงและโอกาสที่จะเกิดการทุจริตทุกขั้นตอนนั้น หากนายกรัฐมนตรีมีความจริงใจในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ควรจะแสดงความชื่นชมต่อการทำงานของ น.ส.สุภาที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่แบบตรงไปตรงมา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน ตามที่ได้รับมอบหมายโดยตรงจากคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานตามกฎหมาย และสมควรแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนเรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว แทนการสอบสวน น.ส.สุภา
นอกจากนี้ จากการแถลงข่าวของนายวราเทพ รัตนากร ซึ่งได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงของการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว ปรากฏข้อเท็จจริงว่านอกจากการขาดทุนเนื่องจากการตั้งราคารับจำนำข้าวเปลือกในราคาสูงกว่าราคาตลาดแล้ว การขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวยังเกิดจาก (1) ในโครงการรับจำนำข้าวนาปี พ.ศ. 2555/56 ปริมาณข้าวสารที่ส่งมอบเข้าโกดังกลางของรัฐตามบัญชีของ อคส.และอ.ต.ก.มีจำนวนต่ำผิดปกติมาก โดยมีข้าวสารจำนวน 2.9 ล้านต้นที่ยังไม่ได้ส่งมอบและอาจสูญหายจากโกดังกลาง ณ วันที่ 31 มกราคม 2556 และ (2) การขาดทุนเนื่องจากการระบายข้าวของรัฐในราคาต่ำกว่าราคาตลาด (ราคาขายส่งข้าวสารในตลาดกรุงเทพฯ ที่รายงานโดยกรมการค้าภายใน) นอกจากนั้นแล้ว ยังมีข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ที่บ่งชี้ว่าอาจมีการลักลอบนำข้าวในโครงการจำนำไปหมุนขายในตลาดก่อน (แล้วค่อยหาซื้อข้าวสารราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านนำมาคืนโกดังกลางของรัฐในภายหลัง)
ต้นตอของการขาดทุนอีกส่วนหนึ่งของโครงการรับจำนำข้าว เกิดจากการที่รัฐระบายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาขายส่งในตลาดค่อนข้างมาก ทำให้รัฐขายข้าวได้เงินน้อยกว่าที่ควร การขาดทุนจากการขายข้าวจำนวนมาก (7-10 ล้านตัน) ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด เป็นเรื่องที่จะต้องมีการสอบสวนโดยเร่งด่วนว่าทำไมหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์จึงขายข้าวในราคาต่ำกว่าตลาดมาก ขายให้พ่อค้าคนใด ราคาเท่าใด และจำนวนเท่าใด และได้รับเงินค่าขายข้าวหรือยัง กระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถอ้างความลับทางการค้าเพื่อปฏิเสธการให้ข้อมูลเหล่านี้ เพราะข้าวจำนวนนี้ขายไปหมดแล้ว และข้าวส่วนใหญ่ก็ขายในประเทศ บัดนี้เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบสองปีแล้ว ข้ออ้างเรื่องความลับทางการค้าฟังไม่ขึ้นอีกแล้ว ประชาชนเจ้าของเงินที่ใช้จำนำข้าวมีสิทธิ์ 100% ที่จะต้องได้ข้อมูลดังกล่าว
บทความระบุในตอนท้ายว่า รัฐบาลต้องรู้ข้อมูลเหล่านี้ เพราะ"หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ออกใบเสร็จ" มีแต่คนนอกที่ไม่รู้ข้อมูล รัฐบาลเป็นเจ้าของใบเสร็จทุกใบ ป่วยการที่จะสั่งให้คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวนำใบเสร็จมาโชว์ ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจะต้องเร่งสั่งการให้หน่วยงานรัฐส่งต้นขั้วใบเสร็จการระบายข้าวให้แก่ ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการอิสระ เพื่อสอบสวนว่ามีการทุจริตกันอย่างไร แล้วนำเสนอรายงานต่อรัฐสภาโดยเร่งด่วน
**************************************************************
บทความฉบับเต็ม “ใครต้องโชว์ใบเสร็จทุจริตจำนำข้าว”
โดย นิพนธ์ พัวพงศกร, อัมมาร สยามวาลา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทวีตข้อความแจ้งว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่า ถ้า น.ส.สุภา ปิยะจิตติ มีข้อมูลการทุจริตข้าวทุกระดับ ให้ส่งหลักฐานเข้ามาพร้อมดำเนินคดีจนถึงที่สุด
แต่วันต่อมากลับมีข่าวว่า รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสั่งให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ไปให้ข้อมูลโครงการรับจำนำข้าวต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ วุฒิสภา ว่าโครงการรับจำนำข้าว มี “ความเสี่ยงและโอกาส” ที่จะเกิดการทุจริตทุกขั้นตอน
อันที่จริงหากนายกรัฐมนตรีมีความจริงใจในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว นายกรัฐมนตรีสมควรจะแสดงความชื่นชมต่อการทำงานของข้าราชการที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่แบบตรงไปตรงมา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน ตามที่ได้รับมอบหมายโดยตรงจากคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานตามกฎหมาย และสมควรแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนเรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว แทนการสอบสวนกรณีที่ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ไปให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจวุฒิสภา
นายกรัฐมนตรีน่าจะรู้ดีว่าคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวมีอำนาจหน้าที่อะไรบ้าง เพราะเป็นผู้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ เอง หน้าที่ของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ คือ การปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล และตั้งงบประมาณคืนให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเพื่อใช้หนี้ที่กู้จาก ธ.ก.ส.และเพื่อนำเงินค่าระบายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวตั้งแต่ปี 2554/55 มาเป็นเงินหมุนเวียนในการรับจำนำข้าวจากชาวนา หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของผู้ปิดบัญชีโครงการ คือ เมื่อพบข้อบกพร่องในการทำบัญชีและภาวะขาดทุนของโครงการฯ ผู้ปิดบัญชีจะต้องระบุสาเหตุของการขาดทุนและข้อบกพร่องของการจัดทำบัญชีเพื่อให้ผู้บริหารนำไปแก้ไข คณะอนุกรรมการเปิดบัญชีฯ มิได้มีหน้าที่และอำนาจในการเสาะแสวงหาหลักฐานการทุจริต
จากการแถลงข่าวของ รมว.วราเทพ รัตนากร ซึ่งได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงของการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว ปรากฏข้อเท็จจริงว่านอกจากการขาดทุนเนื่องจากการตั้งราคารับจำนำข้าวเปลือกในราคาสูงกว่าราคาตลาด (รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรับจำนำ เช่น ค่าจ้างสีข้าว ค่าเช่าโกดัง ฯลฯ) แล้ว การขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวยังเกิดจากสาเหตุสำคัญอีก 2 ประการ คือ (1) ในโครงการรับจำนำข้าวนาปี พ.ศ. 2555/56 ปริมาณข้าวสารที่ส่งมอบเข้าโกดังกลางของรัฐตามบัญชีของอคส.และอตก.มีจำนวนต่ำผิดปรกติมาก หรือพูดง่ายๆ คือ มีข้าวสารจำนวน 2.9 ล้านต้นที่ยังไม่ได้ส่งมอบและอาจสูญหายจากโกดังกลาง ณ วันที่ 31 มกราคา 2556 และ (2) การขาดทุนเนื่องจากการระบายข้าวของรัฐในราคาต่ำกว่าราคาตลาด (ราคาขายส่งข้าวสารในตลาดกรุงเทพฯ ที่รายงานโดยกรมการค้าภายใน)
ปัญหาข้าวสารจำนวน 2.9 ล้านตัน ที่ยังไม่ได้ลงบัญชีทำให้รัฐบาลสั่งการให้มีการตรวจสต๊อกข้าวทั่วประเทศเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2556 แต่ดูเหมือนว่าการตรวจสต๊อคข้าวดังกล่าว เป็นเพียงปฏิบัติการผักชีโรยหน้าเพื่อให้ประชาชนเชื่อว่าไม่มีข้าวจำนวนมากหายไปจากโกดังกลางของรัฐ ถ้าจะมีการทุจริตก็เป็นเพียงปัญหาเล็กๆน้อยๆ ในทางปฏิบัติ โรงสีและพ่อค้าข้าวรู้ว่าการตรวจสต๊อกข้าวอย่างจริงจังไม่สามารถทำได้ภายใน 1 วัน มิหนำซ้ำยังไม่มีการตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างบัญชีข้าวสารที่โรงสีแต่ละแห่งสีแปรและส่งมอบเข้าโกดังว่าสอดคล้องกับบัญชีข้าวสารที่แต่ละโกดังรับมอบหรือไม่ และตรวจสอบว่าบัญชีดังกล่าวตรงกับปริมาณข้าวสารและข้าวเปลือกที่มีอยู่จริงตามโกดังต่างๆ หรือไม่ การตรวจสอบการทุจริตแบบนี้จะต้องนำข้อมูลบัญชีของหน่วยงานรัฐทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการรับจำนำข้าวตลอดห่วงโซ่มาตรวจสอบพร้อมๆกัน ได้แก่ องค์การคลังสินค้า องค์กรตลาดกลางเกษตรกร ธ.ก.ส. กรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศ คำสั่งและการอนุมัติของคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ
นอกจากข้อมูลของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ แล้ว ยังมีข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ที่บ่งชี้ว่าอาจมีการลักลอบนำข้าวในโครงการจำนำไปหมุนขายในตลาดก่อน (แล้วค่อยหาซื้อข้าวสารราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านนำมาคืนโกดังกลางของรัฐในภายหลัง) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เคยตอบกระทู้ในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 20 มีนาคม 2556 ว่า รัฐบาลระบายข้าวสู่ตลาด 7 ล้านตัน ตัวเลขนี้ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ข้าวสำหรับการบริโภคในประเทศและการส่งออก เราทราบว่าในช่วงตุลาคม 2554-กุมภาพันธ์ 2556 ความต้องการใช้ข้าวดังกล่าวเท่ากับ 28.137 ล้านตัน แต่ในตลาดมีข้าวสารเหลือเพียง 17.827 ล้านตัน (เพราะจากผลผลิตข้าวจำนวน 39.682 ล้านตันข้าวสาร รัฐบาลรับซื้อเข้าโครงการจำนำถึง 21.855 ล้านตัน) ฉะนั้นถ้าจะให้มีข้าวสารในตลาดเพียงพอต่อการบริโภคและส่งออก รัฐบาลต้องระบายข้าวอย่างน้อย 10.31 ล้านตัน (28.137-17.827 ล้านตัน) แต่คุณณัฐวุฒิบอกว่ามีการระบายข้าวเพียง 7.072 ล้านตัน แปลว่าตลาดยังขาดข้าวอีก 3.238 ล้านตัน ดังนั้นจะต้องมีผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลจัดการให้มีการนำข้าวจำนวนมากออกจากโกดังกลางรัฐบาลมาหมุนขายในราคาถูก ทำให้ราคาข้าวสารขายปลีกในตลาดมีราคาถูกและไม่ต่างจากสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทั้งๆที่ต้นทุนข้าวสารในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์แพงกว่ามาก ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ราคาข้าวสารปี 2555 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 22.17 บาท แต่สมัยอภิสิทธิ์ เฉลี่ย 22.19 บาท
ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเร่งแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระ หรือขอความร่วมมือจาก ป.ป.ช. ให้ช่วยดำเนินการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษาข้าวในสต๊อก และผู้มีอำนาจหน้าที่ในการระบายข้าว แล้วส่งรายงานให้รัฐบาลและรัฐสภาโดยเร่งด่วน
ต้นตอของการขาดทุนอีกส่วนหนึ่งของโครงการรับจำนำข้าว เกิดจากการที่รัฐระบายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาขายส่งในตลาดค่อนข้างมาก ทำให้รัฐขายข้าวได้เงินน้อยกว่าที่ควร จากตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ที่เสนอต่อ รมว.วราเทพ รัตนากร ปรากฏว่าราคาข้าวที่หน่วยงานของรัฐขายให้แก่เอกชน อยู่ในระดับต่ำกว่าราคาขายส่งข้าวสารในตลาดกรุงเทพฯ มาก กล่าวคือ การระบายข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวนาปีฤดู 2554/55 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 14.43 บาท ขณะที่ราคาข้าวสารในตลาดเฉลี่ยกิโลกรัมละ 18 บาท แสดงว่ารัฐขายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาตลาดถึงกิโลกรัมละ 3.57 บาท ส่วนการระบายข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวนาปรังปี 2555 ราคาขายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.89 บาท ต่ำกว่าราคาตลาดกิโลกรัมละ 7.08 บาท
หากรัฐบาลประมูลขายข้าวแบบโปร่งใส ก็จะขายได้ในราคาใกล้เคียงราคาตลาด แต่เป็นที่ทราบกันดีในวงการค้าข้าวว่ารัฐบาลระบายข้าวผ่านช่องทางแคบๆ ที่มีพ่อค้าเพียง 3-4 รายเท่านั้น รัฐบาลพยายามปกปิดข้อมูลการระบายข้าวดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นความลับทางการค้าทั้งๆที่การระบายข้าวส่วนใหญ่เป็นการขายในประเทศ ไม่ต้องขายแข่งกับประเทศใด การที่รัฐบาลยังคงปกปิดราคาและปริมาณการขายข้าวชวนให้นึกว่าเป็นเหตุผลทางการค้าจริง หรือต้องการปกป้องใครบางคน
การขาดทุนจากการขายข้าวจำนวนมาก (7-10 ล้านตัน) ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด เป็นเรื่องที่จะต้องมีการสอบสวนโดยเร่งด่วน จริงอยู่รัฐบาลแก้ตัวว่าการขาดทุนส่วนหนึ่งเกิดจากการขายข้าวราคาถูกให้ผู้บริโภคและหน่วยราชการ รวมทั้งการบริจาคให้ต่างประเทศ แต่การศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ ของวุฒิสภา พบว่า ปริมาณข้าวถุงราคาถูกที่ส่งให้ร้านถูกใจอาจมีปริมาณเพียง 5-10% ของปริมาณข้าวถุงราคาถูกที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ( 1.8 ล้านตัน) แปลว่านอกจากข้าวถุงราคาถูกในร้านถูกใจแล้ว หน่วยงานรัฐขายข้าวทั้งหมด (7-10 ล้านตัน) ในราคาที่ต่ำกว่าตลาดมาก ดังนั้นจึงต้องมีการสืบสวนโดยเร่งด่วนว่าทำไมหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์จึงขายข้าวในราคาต่ำกว่าตลาดมาก ขายให้พ่อค้าคนใด ราคาเท่าใด และจำนวนเท่าใด และได้รับเงินค่าขายข้าวหรือยัง กระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถอ้างความลับทางการค้าเพื่อปฏิเสธการให้ข้อมูลเหล่านี้ เพราะข้าวจำนวนนี้ขายไปหมดแล้ว และข้าวส่วนใหญ่ก็ขายในประเทศ บัดนี้เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบสองปีแล้ว ข้ออ้างเรื่องความลับทางการค้าฟังไม่ขึ้นอีกแล้ว ประชาชนเจ้าของเงินที่ใช้จำนำข้าวมีสิทธิ์ 100 % ที่จะต้องได้ข้อมูลดังกล่าว
รัฐบาลต้องรู้ข้อมูลเหล่านี้ เพราะ “หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ออกใบเสร็จ” มีแต่คนนอกที่ไม่รู้ข้อมูล รัฐบาลเป็นเจ้าของใบเสร็จทุกใบ ป่วยการที่จะสั่งให้คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวนำใบเสร็จมาโชว์
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจะต้องเร่งสั่งการให้หน่วยงานรัฐส่งต้นขั้วใบเสร็จการระบายข้าวให้แก่ ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการอิสระเพื่อสอบสวนว่ามีการทุจริตกันอย่างไร แล้วนำเสนอรายงานต่อรัฐสภาโดยเร่งด่วน