“ปานเทพ” เชื่อ “ปู” ควบ รมว.กลาโหมหวังล้วงโผทหาร ชี้เป็นสัญญาณรัฐบาลหวาดระแวงกองทัพ พร้อมระบุ “หน้ากากขาว” ยุติกิจกรรมใน กทม. คงเพราะผู้ริเริ่มคุมสถานการณ์ไม่ได้ แนะการชุมนุมต้องก้าวหน้าทุกรอบเพื่อดึงดูดคนและรักษาพื้นที่ข่าว
วันที่ 2 ก.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ผศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
โดยนายปานเทพกล่าวถึงการปรับ ครม. ว่าเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาล นับตั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องนโยบายต่างๆ ทั้งรถคันแรก จำนำข้าว ประกอบกับกลุ่มต่อต้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้ากากขาว บวกกับความเสี่ยงเรื่องกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่อาจขัดรัฐธรรมนูญ ด้านรัฐสภาที่พยายามแก้รัฐธรรมนูญ ก็อาจขัดกันแห่งผลประโยชน์ก็มีความเสี่ยงอีก แม้กระทั่งการออกกฎหมายล้างความผิดให้เสื้อแดง อันนี้ก็เสี่ยงต่อการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งหากมีความผิดจะกระทบพรรคเพื่อไทยและส.ส.หลายคน และยังมีคดีศาลปกครองกรณีเงินกู้โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท สิ่งเหล่านี้สุ่มเสี่ยงทางคดีความที่รออยู่ข้างหน้าทั้งสิ้น รัฐบาลก็รู้ดี เลยไม่แปลกใจที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ คร่อมนั่งตำแหน่งนายกฯ กับ รมว.กลาโหม
ตนได้ข่าวลึกๆ มาว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ควรเป็น รมว.กลาโหม แล้วก็เป็นมาแล้วด้วย แต่ครั้งนั้นถูกย้ายออกเพราะมีสัญญาณบางอย่างที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ไว้ใจว่ายืนข้างไหนกันแน่ เที่ยวนี้ดึงกลับมาอีกแต่ก็ไม่กล้าให้เป็น รมว.กลาโหม ให้เป็นแค่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ตรงนี้น่าสนใจมาก เพราะแสดงว่ามีข้อตกลงอะไรบางอย่าง ทั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มีความรู้ด้านความมั่นคงเลย แต่อย่างที่บอกว่ารัฐบาลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้สองทางเท่านั้น คือ ศาลชี้ว่ามีความผิด กับประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านแล้วทหารอาศัยเหตุวุ่นวายทำรัฐประหาร
การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์นั่งกลาโหม ตนคิดว่าเกี่ยวกับ พ.ร.บ.กลาโหมแน่นอน เป็นสัญญาณที่รัฐบาลไม่ไว้ใจทหารคือเพิ่มรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมขึ้นมา 1 ตำแหน่ง ซึ่งมาตรา 25 ระบุว่า “การพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของสำนักงานปลัดกระทรวงและส่วนราชการในกองทัพไทย ให้ดำเนินการโดยคณะกรรมการที่ส่วนราชการนั้นแต่งตั้งขึ้น (คณะกรรมการ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นกรรมการ ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้เจ้ากรมเสมียนตราเป็นผู้ช่วยเลขานุการมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาแต่ง)
ทั้งนี้ สำหรับกองทัพบก อากาศ เรือ สามเหล่านี้จะไม่ก้าวก่ายกันในการแต่งตั้งโยกย้าย ฉะนั้น 3 คนก็ไปแล้วครึ่งหนึ่ง แสดงว่ามีบางอย่างที่ต้องใช้เสียงมากกว่านั้นเพื่อให้เกิดอำนาจต่อรองของนายกฯ ไม่เช่นนั้นคงไม่มานั่งคร่อมตำแหน่ง รมว.กลาโหม เพื่อทำให้อำนาจต่อรองของนายกฯ กลายเป็นเสียงที่ 7 โผล่ขึ้นมา แสดงว่ากุนซือที่วางตำแหน่งมีเป้าหมายล้วงเหล่าทัพโดยตรง โดยอาศัยเสียงคณะกรรมการส่วนมาก
นายปานเทพกล่าวต่อว่า คณะกรรมการ 7 คนในปีนี้จะมีเกษียน 2 คน คือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กับปลัดกระทรวงกลาโหม แล้วต้องมีคนมาแทนซึ่งต้องเป็นอัตราจอมพลเท่านั้นถึงมาแทนได้ และบังเอิญที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพที่ดำรงตำแหน่งมานาน จึงกลัวว่าจะได้ขึ้นไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ไม่ได้คุมกำลัง จึงไม่วางใจก็เป็นได้ พล.อ.ประยุทธ์ เลยอาจสบายใจถ้ามี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภาเข้ามา แต่ถ้าส่งสัญญาณประนีประนอมจริงก็ไม่จำเป็นต้องเอานายกฯ มานั่งกลาโหม เหมือนมีกระบวนการสร้างภาพให้ดูดี แต่ลึกๆ มีความหวาดระแวงระหว่างกองทัพกับรัฐบาล ซึ่งน่าจะมีเหตุอะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ แล้วก็น่าเป็นเหตุที่รัฐบาลเล็งเห็นอยู่แล้วว่ากองทัพเป็นจุดชี้ขาด ถ้าการโยกย้ายนี้ไม่ได้เตี๊ยมกัน คิดว่าสถานการณ์ข้างหน้าน่าจะเกิดความหวาดระแวงมากขึ้นอีก
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวถึงการยุติกิจกรรมใน กทม.ของหน้ากากขาวว่า ชุมุนมทุกวันอาทิตย์แล้วกลับบ้าน ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ บางกลุ่มอาจอยากสร้างสถานการณ์ จนมีผู้ริเริ่มอาจรู้สึกว่าตัวเองคุมสถานการณ์ไม่ได้ และต่อให้คุมได้ก็ไม่มีความก้าวหน้า เพราะไม่มีแกนนำประกาศให้ทำอะไรต่อ ซึ่งการชุมนุมนั้นมันต้องมีการยกระดับ มีความก้าวหน้าทุกรอบ เพื่อรักษาพื้นที่ข่าว และให้มีความน่าสนใจคนมาร่วมมากขึ้นๆ แต่ถ้าแค่ชุมนุมไปเรื่อยๆ มีคำถามแล้วยังไงต่อ ในทางเดียวกันเวลาทำสงครามขั้วอำนาจมันมีความเสี่ยง ถ้ามีคนคิดให้ทหารออกมาแล้วต้องก่อจลาจล ฉะนั้น การใส่หน้ากากมีโอกาสก่อจลาจลได้ง่าย และไม่มีแกนนำทำให้คนรับผิดชอบเรื่องนี้น้อยที่สุด สถานการณ์แบบนี้มันยากต่อการจัดการ
ด้านนายพิชายกล่าวว่า ความเสี่ยงของเสถียรภาพรัฐบาลมาจากตัวรัฐบาลเองทั้งนั้น เติมความเสี่ยงให้ตัวเองทุกวัน แน่นอนจะเป็นการกระตุ้นความไม่พอใจของคนมากขึ้น แต่ปมปัญหาของหน้ากากขาวมีมากอยู่ เนื่องจากเริ่มก่อตั้งบอกว่าไม่มีแกนนำ เป็นการตื่นตัวที่เกิดขึ้นเอง การที่ตื่นตัวเกิดขึ้นเองแล้วจะให้มีประสิทธิผลทางการเมืองมวลชนมันต้องใหญ่มาก ทีนี้มีจุดเรื่มต้นที่ดีแต่มีขอบเขตจำกัด แล้วมีคนพยายามทำตัวเป็นเจ้าของ มีความขัดแย้งกัน ช่วงชิงการนำกัน บางคนเป็นนักเคลื่อนไหวอาชีพเข้าไปแทรกแซง ซึ่งถ้าเป็นธรรมชาติจริง ไม่มีแกนนำจริงๆ การประกาศยุติบทบาททางหน้าเฟซบุ๊กไม่น่าจะกระทบการชุมนุม เพราะหน้ากากขาวเป็นใครก็ได้ ไม่มีแกนนำ ใครอยากไปก็สามารถไปได้ ใครยุติก็ยุติไป