“พิชาย” ลั่นรัฐบาลกระแสตกต่ำ ปรับ ครม.ไม่ช่วยให้ดูดีขึ้น เชื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ภายในปีนี้ ด้าน “สุริยะใส” คาด “ปู” อาจถอดใจยุบสภาเพื่อเปลี่ยนตัวนายกฯ หลังถูกกดดันหนักช่วงขาลงของรัฐบาล พร้อมแนะ “หน้ากากขาว” ต้องตอบคำถามให้ชัดเจน หากเกิดสถานการณ์แหลมคมจะออกแบบการชุมนุมอย่างไร เพราะหากยุติกลางคันพลังที่เกิดขึ้นจะหายไป
วันที่ 26 มิ.ย. รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ได้ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
โดยนายพิชายกล่าวถึงเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลว่า ปัจจัยหลักก็คือเรื่องจำนำข้าว ที่จะเป็นตัวป่วนรัฐบาลไปอย่างต่อเนื่อง และนับวันก็ยิ่งชัดมากขึ้นในเรื่องของการทุจริตที่เชื่อมโยงกับนักการเมือง ซึ่งรัฐบาลอาจฟันโรงสีบางส่วนเพื่อกันตัวเองออกจากความผิด อีกทั้งเรื่องหนี้สินครัวเรือน นโยบายรถคันแรก ก็จะปรากฏเป็นรูปธรรมขึ้นเรื่อยๆ เพราะจะกระทบคนค้าคนขายแน่นอน นอกจากนี้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะเข้าสภาฯสิงหาคมนี้ ก็เป็นอีกประเด็นที่รัฐบาลจะตอบคำถามสังคมได้ลำบากขึ้น
กระแสเหล่านี้จะถาโถมกดดันรัฐบาล ความล้มเหลวต่างๆจะผุดขึ้นเรื่อยๆ และอาจมีเรื่องอื่นๆขึ้นมาอีก ฉะนั้น การปรับคณะรัฐมนตรีไม่สามารถเหนี่ยวรั้งกระแสความตกต่ำของรัฐบาลได้เลย แล้วเป็นไปได้ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง อาจจะด้วยการยุบสภา หรือประชาชนทนไม่ไหวลุกขึ้นมา หรืออาจจะโดยทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องภาคใต้และเขาพระวิหาร ที่ทำให้ทหารต้องคิดหนัก และอาจเคลื่อนไหวได้ การเปลี่ยนแปลงที่ว่ามานี้น่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ คิดว่าไม่น่าจะข้ามปี เพราะตอนนี้ทุกวงการพุ่งเป้าไปที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าทุกคนทนไม่ไหวแล้ว
นายสุริยะใสกล่าวว่า มันมีตัวแปรที่อาจเกิดเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ เช่นเรื่องจำนำข้าว ที่มีคนไปร้อง ป.ป.ช. เรื่องจัดการน้ำที่ศาลปกครอง เรื่องแก้รัฐธรรมนูญที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตนแปลกใจเหมือนกันทำไมศาลยังไม่เปิดไต่สวน และคาดกันว่าอาจไปเปิดไต่สวนช่วงที่เปิดสภา ส่วนการที่รัฐบาลจะพิจารณาตัวเองแล้วลาออกไปคงไม่มี เพราะด้วยคุณธรรมจริยธรรมที่ต่ำ แต่จะดันทุรังต่อไปพอไม่ไหวค่อยยุบสภา ซึ่งอาจจะปลายปีหรือต้นปีหน้า เพื่อรองบประมาณไตรมาสแรกผ่านไปก่อน รัฐบาลยังถือเป็นไพ่ยุบสภาเพื่อรักษาความได้เปรียบทางการเมืองอยู่ เว้นแต่มีเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนอกเหนือจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณวางแผนไว้
ฉะนั้น 6 เดือนจากนี้ไป เป็น 6 เดือนอันตราย ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่จะเข้าสภาปลายสิงหาคม ไม่แน่ใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะกล้าหรือเปล่า เพราะดูตอนนี้อาจเสี่ยงต่อเสถียรภาพรัฐบาล และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ได้ฮึกเหิมพอที่จะเป็นแม่ทัพช่วยพี่ชายได้อีก เพราะช่วงข่าลงมันทำให้หวั่นไหวไปหมด ไม่แน่ น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจถอดใจเอาดื้อๆ ตนไม่คิดว่านายกฯจะอำมหิตพอที่จะเผชิญกับโมเมนตัมทางการเมืองที่มันเชี่ยวกราดเข้ามา เว้นแต่พี่ชายจะเอาขายันเอาไว้ ไม่แน่อาจยุบสภาแล้วหาคนใหม่มาแทน
นายสุริยะใสยังกล่าวด้วยว่า หน้ากากขาวต้องประเมินสถานการณ์และตอบคำถาม อาจจะยังไม่ต้องตอบตอนนี้ ว่าถ้าสถานการณ์แหลมคมขึ้นจะวางตัวอย่างไร โดยตัวหน้ากากขาวตอนนี้ขยับลงสู่ถนนมันคือการชุมนุมแล้วแม้ว่าไม่ปักหลักพักค้าง มันต้องมีการออกแบบ เพราะถ้าเมื่อไหร่หยุดชุมนุมมีปัญหาทันที เพราะพลังมันจะหาย เนื่องจากหลายๆ คนคาดหวังมาก
ใครที่อยู่ส่วนนำจะเปิดตัวหรือไม่เปิด นี่เป็นคำถามที่ต้องคิด หน้ากากขาวนี้แม้ไม่มีแกนนำแต่มีการนำชัดเจน และมันถูกคาดหวัง ถ้าสถานการณ์แหลมคม เช่นรัฐบาลผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองฉบับสุดซอยของ ร.ต.อ.เฉลิม อาจต้องปักหลักพักค้าง เพราะถ้า พ.ต.ท.ทักษิณเห็นว่ามวลชนเหลาะแหละไม่มีพลัง ก็จะดันกฎหมายให้ผ่านไปแน่