xs
xsm
sm
md
lg

นักสิ่งแวดล้อมโสมขาวชำแหละ “เค วอเตอร์” ประวัติฉาว หวั่นโครงการน้ำ 3.5 แสนล.มีปัญหา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผอ.สหพันธ์สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ กังวล “เค วอเตอร์” ชนะประมูลโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านใน 2 โมดูล หวั่นมีปัญหาภายหลัง ชี้ระบบการเงินห่วย ไร้ความสามารถแก้ปัญหาระบบน้ำ เอ็นจีโอฝ่ายไทยรับข้อมูลน่าห่วง ย้ำรัฐบาลไม่ควรเดินหน้าต่อ หันมาใส่ใจการแก้ปัญหาระบบน้ำที่ชุมชนทั้งต้นน้ำ ปลายน้ำมากกว่า ส่วน หน.ปชป. ลุ้นศาลปกครองสั่งทำประชาพิจารณ์ แนะรัฐถามเค วอเตอร์ พร้อมทำหรือเปล่า

วันนี้ (26 มิ.ย.) ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการจัดการน้ำ ระหว่างเครือข่ายภาคประชาชนไทย และเครือข่ายสิ่งแวดล้อมประเทศเกาหลีใต้ โดยโครงการสื่อสุขภาวะชุมชนชายขอบ และชมรมนักข่าสิ่งแวดล้อม โดยมีนายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิการจัดการน้ำแบบบูรณาหการ นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา ผู้ประสานงานเครือข่ายลุ่มน้ำภาคเหนือ นายกมล เปี่ยมสมบูรณ์ ประธานสภาเครือข่ายลุ่มน้ำท่าจีน ตัวแทนจากประเทศไทย และนายยัม ฮคองเชิล ผู้อำนวยการสหพันธ์สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ (Korean Federation Environmental Movement : KFEM )

โดยนายหาญณรงค์ กล่าวว่า จากโครงการ 3.5 แสนล้านของรัฐบาลนั้น มีการดำเนินการที่ไม่เห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้น สะท้อนชัดว่ารัฐบาลมีการให้ข้อมูลที่บิดเบือน ไม่แสดงข้อมูลเท็จจริงที่โปร่งใส ทำให้ชาวบ้านเกิดความสับสน อย่างกรณีของบริษัท โคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น หรือ เค วอเตอร์ ที่ได้ชนะการประมูลแผนก่อสร้างใน 2 โมดูล คือ โมดูล เอ 3 และโมดูล เอ 5 ซึ่งเป็นโครงการแก้มลิงและฟลัดเวย์ ที่ทางเครือข่ายภาคประชาชนเกาหลี ได้ลงพื้นที่สำรวจเมื่อวันที่ 24-25 มิ.ย. ใน จ.พิษณุโลก และนครสวรรค์นั้น ก็เป็นอีกแผนที่ไร้ซึ่งการทำกรอบแนวคิดในการศึกษาว่า เพราะเหตุใดจึงจำเป็นต้องก่อสร้าง ขณะที่หลายๆ โครงการมีการแอบลงพื้นที่สำรวจ เพื่อก่อสร้างเส้นทางฟลัดเวย์ และพัฒนาคูคลองโดยการขุดลอก และไม่แสดงข้อมูลเท็จจริงให้ประชาชนรับรู้ ที่น่ากังวลมากที่สุด คือ รูปแบบการพัฒนาเส้นทางต่างๆ ในงบ 3.5 แสนล้าน นั้นคนยังสงสัยว่าเป็นโครงการขุดลอกคลองชลประทาน หรือเป็นการแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งจุดนี้เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเร่งแก้ไข หรือแม้กระทั่งการขุดลอกบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ ก็เป็นการแสดงออกซึ่งความไร้แผนงานในการพัฒนา

ด้านนายยัม กล่าวว่า หลังจากที่เครือข่ายสิ่งแวดล้อม ทราบว่า เค วอเตอร์ ชนะการประมูลแผนพัฒนาการทรัพยากรน้ำใน 2 แผนของประเทศไทย งบประมาณ 1.5 แสนล้านนั้น รู้สึกกังวลอย่างมาก กลัวว่าจะมีปัญหาตามมาภายหลัง ทั้งปัญหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ตามมา และปัญหาเรื่องงบประมาณค่าใช้จ่ายที่เกินกว่าราคาเสนอโครงการ เพราะเค วอเตอร์ มีประวัติที่ไม่ดีนัก โดยแต่เดิมนั้นบริษัทดังกล่าวเป็นรัฐวิสาหกิจ ที่ดำเนินการในการพัฒนาระบบน้ำ แต่ต่อมา เค วอเตอร์ มารับงานก่อสร้างอื่นๆ เช่น การสร้างระบบน้ำประปาในพื้นที่อุตสาหกรรม และเมืองใหญ่ จากนั้นก็ย้ายมาก่อสร้างด้านการพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำ การก่อสร้างพนังกั้นน้ำท่วม ซึ่งไม่ใช่งานหลัก ทั้งๆ ที่ก่อตั้งมาในฐานะรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีทุนสนับสนุนโดยรัฐบาลที่ถือหุ้นมากถึง 99% และมีผู้บริหารระดับสูงหรือซีอีโอที่แต่งตั้งโดยประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นอกจากนี้ยังพบว่า ในปี 2012 เควอเตอร์มีทรัพย์สินอยู่ที่ 676,000 ล้านบาท 304,000 ล้านบาท และหนี้สินประมาณ 372,000 ล้านบาท ส่วนภาษีเงินได้ของบริษัท อยู่ที่ 99,000 ล้านบาท

นายยัม กล่าวต่อว่า ระยะเวลา 3 ปีจากปี 2008-2011 ที่เควอเตอร์ดำเนินโครงการสร้างเขื่อนใน 4 แม่น้ำและคลองกังงิน รวมระยะทางทั้งหมด 600 กม. โดยใช้งบประมาณสูงถึง 5,945,000 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัทระบุว่าเป็นการสร้างฟลัดเวย์ และแก้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้งของเกาหลีใต้ นั้น พบว่า ผลจากการก่อสร้างก่อหนี้สินสูงขึ้นถึง 758% ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่ประสบความล้มเหลวของเควอเตอร์มากที่สุด โดย 50% ของงบประมาณนั้น เค วอเตอร์ใช้เพื่อการบำรุงรักษาโครงการหลังก่อสร้าง ซึ่งความล้มเหลวที่มีนี้ทำให้คนเกาหลีใต้เกือบ 80% ต่อต้านโครงการสร้างเขื่อนดังกล่าว ขณะที่ความไม่โปร่งใสเรื่องการเงินนั้นอยู่ในช่วงการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของเกาหลีใต้ และสำนักงานตรวจสอบการทุจริต เพราะเข้าข่ายทำผิดกฏหมายการเงิน ส่วนผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมนั้นเกิดขึ้นมากมายเช่นกัน ซึ่งเขื่อนใน 4 แม่น้ำ สร้างปัญหาสาหร่ายเขียว (Green late) ทำลายระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในแม่น้ำของเกาหลีใต้ ทำให้สัตว์และพืชสำคัญเสียหายอย่างรุนแรง ดังนั้น เค วอเตอร์ จึงเข้าข่ายทำผิดกฎหมายสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งทางภาคประชาชนจะเร่งตั้งคณะทำงานจากองค์กรอิสระและภาคประชาชนเพื่อตรวจสอบ กรณีปัญหาดังกล่าวและสรุปนำเสนอสาธารณะอีกครั้ง

ด้านนายกมล กล่าวว่า จากสถานะการเงินที่แย่ลงของเค วอเตอร์นั้น สะท้อนให้เห็นชัดว่าไม่เหมาะสมแก่การรับดำเนินโครงการเส้นทางผันน้ำ สร้างฟลัดเวย์ และโครงการขุดลอกคลองบางส่วนในแผนโมดูล เอ 5 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่แม่น้ำสายสำคัญ เช่น แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำเจ้าพระยา และท่าจีน ในภาคตะวันตก และปริมณฑล เพราะแม้แต่โครงการในประเทศยังมีความเสียหายมหาศาลแล้ว หากปล่อยให้ดำเนินย่อมไม่เกิดผลดี อย่างไรก็ตาม อยากขอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาในส่วนของภาคประชาชนมากกว่า ว่า ต้องการอะไร รวมทั้งรัฐบาลเองต้องเร่งชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีแผนพัฒนาลุ่มน้ำด้วย ว่าดำเนินการเพื่ออะไร เป็นโครงการขุดคลองของชลประทาน หรือเป็นการแก้ปัญหาระบบน้ำอย่างไร เพราะขณะนี้ประชาชนยังกังวลอยู่มาก

นายสมเกียรติ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลใจเย็นในเรื่องของการเดินหน้าโครงการ แล้วหันมาใส่ใจการแก้ปัญหาระบบน้ำที่ชุมชนทั้งต้นน้ำ ปลายน้ำมากกว่าการเร่งอนุมัติงบประมาณ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสี่ยงกับความล้มเหลว ทั้งนี้ตนหวังว่า กรณีสถานการณ์ของเควอเตอร์ น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้รัฐบาลไตร่ตรองแล้วยอมฟังเสียงประชาชน โดยการประชาพิจารณ์อย่างจริงจัง นอกจากนี้ กรณีที่ในแผนพัฒนาลุ่มน้ำภาคเหนือซึ่งรัฐบาลสนับสนุนให้มีการขุดลอก คลอง หนองน้ำและบึงต่างๆ นั้น เห็นว่าเป็นสิ่งไม่สมควร เพราะภาคเหนือเป็นต้นน้ำ ควรเน้นที่การรักษาป่าไม้ มากกว่าการขุดลอก

อีกด้านหนึ่งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีศาลปกครองจะพิพากษากรณีโครงการบริหารจัดการน้ำในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ ว่า ในการแถลงของตุลาการเจ้าของสำนวนเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.นั้น แม้ไม่ใช่คำวินิจฉัย แต่ว่าก็มีประเด็นที่น่าสนใจคือมีการพูดถึง การปฏิบัติตามมาตรา 67 ซึ่งดูเหมือนว่าจุดยืนหรือแนวคิดของผู้ที่แถลงบอกว่า ควรที่จะต้องมีการปฏิบัติตามมาตรา 67 โดยการเข้าไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อประกอบกับการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมกับสังคม ก่อนที่จะมีการลงนามในสัญญา ซึ่งหากมีการวินิจฉัยตามแนวนี้ รัฐบาลก็ต้องไปดำเนินการตามแนวนี้ ส่วนอาจจะเซ็นสัญญาไม่ทันวันที่ 30 มิ.ย. ซึ่งครบกำหนดการกู้เงิน ตนคิดว่ารัฐบาลจะกู้เงินแล้วค่อยไปทำสัญญาในภายหลัง

ส่วนกรณี นายยัม ยุง โซ ผู้อำนวยการสมาพันธ์สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ออกมาระบุว่า บริษัท เค วอเตอร์ ที่ชนะการประมูลหลายโมดูลในโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ว่ามีฐานะการเงินย่ำแย่และมีหนี้สินสูงกว่า 700% และไม่มีศักยภาพที่จะทำโครงการใหญ่ได้นั้น อันนี้ก็เป็นคำถามต่อไปถึงรัฐบาลว่า เรามีความมั่นใจอะไรว่าบริษัทดังกล่าวทำได้

“รัฐบาลต้องไปตรวจสอบว่า เขาพร้อมทำจริงหรือเปล่า แต่ว่าถ้ากระบวนการบอกว่า ผ่านการคัดเลือกมาแล้วนี่ อันนี้ก็ต้องมาตอบคำถามว่าทำไมคนที่เขาตั้งข้อสังเกต หรือมีข้อมูลตรงนี้มา เขาถึงมีความไม่เชื่อมั่นตรงนี้ แล้วรัฐบาลมีความมั่นใจอะไร”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่า ในส่วนการตรวจสอบของพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กำลังตรวจสอบต่อเนื่อง ซึ่งการที่เราจะยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก่อนหน้านี้นั้นก็น่าจะเกี่ยวพันกับเรื่องเหล่านี้ด้วย เพราะข้อสังเกตเราเกี่ยวกับปัญหาการจัดซื้อจัดจ้าง แล้วก็มีข้อสังเกตของ ป.ป.ช. เองว่า บริษัทต่างๆ จะสามารถทำงานได้จริงหรือไม่ จะเกิดการทิ้งงานหรือไม่ ซึ่งก็อยู่ในคำร้องหมดแล้ว

นายอรรถวิช สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องคุณสมบัติของเควอเตอร์นั้น เชื่อว่าเขาสามารถสร้างตามโครงการที่กำหนดไว้ได้ เพราะสุดท้ายก็จะมีการจ้างบริษัทก่อสร้างขนาดเล็กในประเทศทำโครงการ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเองก็เคยไปดูถึงประเทศเกาหลีมาแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องของคุณสมบัติ แต่เชื่อว่าเป็นเพียงการตีหัวผู้รับเหมาแบบเหนือเมฆ เพื่อต่อรองราคาและผลประโยชน์กัน เพราะรัฐบาลมีเวลาต่อรองราคาจนถึงวันที่ 30 ก.ย. ก่อนจะมีการลงนามในสัญญาจ้าง ซึ่งหากผู้ชนะคือเควอเตอร์ไม่สามารถต่อรองราคา ต่อรองผลประโยชน์กับรัฐบาลได้ลงตัว รัฐบาลก็จะสามารถพิจารณาบริษัทร่วมประมูลอันดับสองได้ ซึ่งก็คือบริษัทอิตาเลียนไทย ซึ่งเหตุนี้เองที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องยื่นถอดถอนครม.ทั้งคณะ เพราะสุดท้ายแล้วงานก็จะอยู่ในมือแค่ไม่กี่บริษัทเท่านั้น

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เคยเตือนรัฐบาลแล้วว่า ไม่ควรประมูลโครงการทั้งหมดแบบรวมเข่ง เพราะนายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เลขาธิการสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กบอ.) ให้ข้อมูลว่ารัฐบาลมีรูปแบบการก่อสร้าง งบประมาณที่ชัดเจนประมาณ 30% ซึ่งก็ควรแยกประมูลเป็นรายโครงการโดยให้บริษัทขนาดเล็กในประเทศเข้ามาทำ และหากไม่มีความพร้อมที่จะทำทั้งหมดก่อนที่สิ้นสุดการกู้ในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ ก็ควรกู้แค่ที่มีความพร้อม แต่การรวมทั้งหมดแล้วประมูลแบบยกเข่ง โดยปิดโอกาสบริษัทขนาดเล็กนั้น เป็นการเปิดช่องให้มีการทุจริตและสามารถตีหัวผู้รับเหมาหาผลประโยชน์ได้หรือไม่ และพอมีแค่ไม่กี่บริษัทที่ได้งานหากบริษัทใดบริษัทหนึ่ง อย่างกรณีของเควอเตอร์ถ้ามีปัญหาก็จะส่งผลกระทบต่อโครงการทั้งหมด แต่หากมีการแยกประมูลตั้งแต่ต้นก็จะมีปัญหาเป็นบางโครงการเท่านั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น