xs
xsm
sm
md
lg

อดีตผู้พิพากษายันหน้ากากขาวไม่เถื่อนเหมือนแก๊งแดง ไม่เข้าข่ายล้ม ม.68

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา (แฟ้มภาพ)
“ชูชาติ ศรีแสง” เทียบหลัก กม. ยันหน้ากากขาวชุมนุมไม่เกินกว่าสิทธิตาม รธน. ชี้พฤติกรรมไม่ป่าเถื่อนเหมือนม็อบแดง ตั้งข้อหาคิดล้มล้างการปกครองตาม ม.68 ไม่ได้ เหน็บพฤติกรรม “เพื่อแม้ว” ถนัดโยนขี้ ปัดความรับผิดไม่ต่างเจ้าของพรรคตัวจริง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 22 มิ.ย. เมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Chuchart Srisaeng ถึงกรณีคนของพรรคเพื่อไทยว่า “ไม่สบายใจกับกลุ่มต่างๆ ที่มาเคลื่อนไหวล้มรัฐบาล ทั้งกลุ่มหน้ากากขาว กลุ่มคนไทยรักชาติรักแผ่นดิน ที่ไล่รัฐบาลโดยวิธีนอกระบบ เกินเลยกว่าการใช้สิทธิตามปกติ เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เรื่องการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ทางพรรคประชาธิปัตย์ กลับนิ่งเฉยในเรื่องนี้ ไม่กล้าตรวจสอบคนกลุ่มนี้ ถ้ายังไม่ดำเนินการในเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน นั้น

ประเด็นแรกที่ว่า กลุ่มหน้ากากขาว กลุ่มคนไทยรักชาติรักแผ่นดิน ที่ไล่รัฐบาลโดยวิธีนอกระบบ เกินเลยกว่าการใช้สิทธิตามปกติ เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เรื่องการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

มาอ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญกัน จะได้รู้ว่าการพูดดังกล่าว เป็นความจริงหรือเป็นความเท็จ หรือไม่ เพียงใด

มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา 45 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น

มาตรา 63 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ

มาตรา 68 บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจใน การปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้

ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทําการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทําดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนการดําเนินคดีอาญาต่อผู้กระทําการดังกล่าว

พฤติกรรมของกลุ่มหน้ากากขาวที่มาร่วมชุมนุมกันอาทิตย์ละหนใช้เวลาชุมนุมประมาณ 2-3 ชั่วโมง โดยมีป้ายที่มีข้อความด่ารัฐบาลชุดนี้รวมถึงผู้มีอำนาจที่แท้จริงและเจ้าพรรคเพื่อไทยด้วย แล้วก็สลายตัวเดินทางกลับ ส่วนกลุ่มคนไทยรักชาติรักแผ่นดิน ก็มีการชุมนุมกันอยู่ที่สนามหลวงกลางคืนก็มีการปราศรัยโจมตีรัฐาล

ผู้ที่มาร่วมชุมนุมทั้งสองกลุ่มต่างก็ไม่มีอาวุธ ไม่เคยประกาศว่ามีกองกำลังที่มีอาวุธมาร่วมชุมนุมด้วย ไม่เคยประกาศให้ผู้มาร่วมชุมนุมนำน้ำมันใส่ขวดมาคนละ 1 ลิตรเพื่อให้กรุงเทพเป็นทะเลเพลิง ไม่เคยเอาเลือดสัตว์หลายชนิดไปเทที่หน้าประตูทำเนียบรัฐบาลและหน้าบ้านครอบครัวของผู้ทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เคยบุกโรงพยาบาลจนโรงพยาบาลต้องย้ายคนไข้ รวมทั้งสมเด็จพระสังฆราชไปไว้ที่โรงพยาบาลอื่น ไม่เคยประกาศให้ผู้ร่วมชุมเผาอาคารทั้งของรัฐและเอกชน ไม่เคยแนะนำให้ผู้ร่วมชุมนุมเข้าไปเอาสืนค้าราแพงจากห้างร้านต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณที่ชุมนุม ไม่เคยมีพิพากษาของศาลว่า เป็นการชุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เหมือนการชุมนุมของคนเสื้อแดงซึ่งเป็นคนของพรรคเพื่อไทย

การชุมนุมของกลุ่มหน้ากากขาวและกลุ่มคนไทยรักชาติรักแผ่นดิน เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 63 เป็นการแสดงความคิดเห็น เป็นการพูด ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 45 ย่อมเป็นการกระทำที่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เมื่อการใช้สิทธิโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ใช่การเป็นการเกินเลยกว่าการใช้สิทธิตามปกติ

พิจารณากันต่อไปว่า เป็นการต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคแรกหรือไม่ การกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติในมาตรานี้ ต้องเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองของประเทศไทย ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 คือ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หมายความว่า ต้องเป็นการล้มการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปเป็นการปกครองในระบอบที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น ระบอบการปกครองที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข

กลุ่มหน้ากากขาวและกลุ่มคนไทยรักชาติรักแผ่นดิน ไม่เคยมีพฤติกรรมหรือการกระทำใดๆ ที่ส่อไปในทางที่ไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์หรือต้องการให้ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ทั้งสองกลุ่มไม่เคยมีผู้ปราศรัยต่อผู้มาร่วมชุมในลักษณะที่ทำให้ผู้มาร่วมชุมนุมเข้าใจต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่นที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย บางคนปราศรัย ในที่ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่เคยมีบุคคลหนึ่งบุคคลไปให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศกล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่นที่คนบางของพรรคเพื่อไทยเคยให้สัมภาษณ์ ไม่เคยประกาศว่าจะสถาปนารัฐโทยใหม่และให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นประธานาธิบดี เหมือนกลุ่มคนเสื้อแดงภาคเหนือประกาศว่าจะสถาปนารัฐไทยใหม่โดยมีทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานาธิบดี

ถ้าจะมีการล้มระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เชื่อได้ว่า ต้องไม่ใช่กลุ่มหน้ากากขาวและกลุ่มคนไทยรักชาติรักแผ่นดิน แน่นอนแต่จะกลุ่มบุคคลใดมีแนวคิดที่จะล้มระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พรรคเพื่อไทยน่าจะสอบถามกลุ่มคนเสื้อแดงหรือ ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนก็จะทราบได้แน่นอน

ประเด็นต่อมาที่กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ กลับนิ่งเฉยไม่กล้าตรวจสอบคนกลุ่มนี้ ถ้าไม่ยังดำเนินการเรื่องนี้ก็ถือว่า เป็นพวกเดียวกันนั้น

ถ้าการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 68 หากเป็นการกระทำที่มีความผิดอาญาผู้ที่มีอำนาจดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิด ก็คือเจ้าพนักงานตำรวจหรือเจ้าพนักงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งผู้ที่มีอำนาจสั่งเจ้าพนักงานเหล่านี้คือรัฐบาลซึ่งปัจจุบันก็คือพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน จะไปสั่งเจ้าพนักงานเหล่านี้ได้อย่างไร อย่าพูดถึงไปสั่งเลย หัวหน้าพรรคและอดีตเลขาธิการพรรคถูกเจ้าพนักงานรังแกจนหน้าเขียวแล้วเห็นๆ กันอยู่

ส่วนการตรวจสอบโดยยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สั่งการให้ผู้กระทำเลิกการกระทำตามมาตรา 68 วรรคสองนั้น ก็พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับเรื่องที่ประชาชนทั่วไปเป็นผู้ยื่นคำร้อง ต้องให้อัยการสูงสุดเท่านั้นเป็นผู้ยื่นจึงรับคำร้องไว้พิจารณาได้ ทำไมเรื่องนี้กลับต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือนี่คือพฤติกรรมที่พรรคเพืิ่อไทยยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามที่เจ้าของยึดถือปฏิบัติอยู่

ทักษิณเจ้าของพรรคไปด่าศาลไทยในต่างประเทศว่า ไม่มีความยุติธรรม สองมาตรฐาน เชื่อถือไม่ได้ แต่พอตนเองคิดว่าถูกบุคคลอื่นกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทักษิณก็ฟ้องคดีต่อศาลไทย ลูกน้องก็ต้องยึดถือตาม คนในพรรคไทยรักไทยเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องที่ประชาชนยื่นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสอง แต่กลับต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ตรวจสอบกลุ่มหน้ากากขาวและกลุ่มคนไทยรักชาติรักแผ่นดิน โดยการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ส่วนที่ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ดำเนินการเรื่องนี้ก็ถือเป็นพวกเดียวกันนั้น ก็ไม่ใช่เรืิ่องแปลกเพราะพรรคเพืิ่อไทยมีความถนัดในการปัดความรับผิดชอบให้คนอื่นรับผิดชอบแทนเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว สดๆ ร้อนๆ เรื่องการซื้อข้าวตันละ 15,000 บาท โกงกินกันจนไม่มีเงินจะซื้ออีกต่อไปต้องลดลงเหลือตันละ 12,000 บาท พรรคเพื่อไทยก็อ้างเป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์

ลูกเจ้าของพรรคที่มีความเฉลียวฉลาดเก่งอย่างหาคนเทียบไม่ได้ในการแอบเอาโพยคำตอบเข้าไปในห้องสอบก็ออกมาประกาศว่า เป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์เอาเรื่องโกหกมาโจมตี จึงทำให้ไม่มีเงินที่จะซื้อข้าวในราคาเดิมอีกต่อไปครับ”


กำลังโหลดความคิดเห็น