“ชูชาติ ศรีแสง” ระบุ พ.ร.บ.ปรองดอง “เหลิม” ไม่ต้องจบด็อกเตอร์แค่อ่านภาษาไทยออกก็เข้าใจได้ ย้ำ ม.4 ประกอบ ม.3 วรรคสอง ให้ผู้ที่ถูก คตส.ฟ้อง ไม่เคยเป็นผู้กระทำความผิด เท่ากับว่าคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ พิพากษาให้ติดคุก 2 ปี รวมถึงคดียึดทรัพย์ที่ได้มาโดยมิชอบ 46,000 ล้านบาท ไม่มีกฎหมายให้เอาผิด ก็ต้องคืนให้แก่ “ทักษิณ” แน่นอน และเมื่อต้องคืนเงิน ร่าง พ.ร.บ.นี้จึงเกี่ยวกับการเงิน ตาม รธน.มาตรา 143 (2)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 29 พ.ค. เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. ท่านชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว Chuchart Srisaeng ขยายความร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติฉบับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ถึงคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูก คตส.กล่าวหาว่ากระทำความผิดและถูกดำเนินคดีมาแล้วทุกคดี เมื่อร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้แล้วคดีต่างๆ ที่ศาลเคยพิพากษามาจะจบสิ้นกันไปเลยหรือสามารถดำเนินคดีใหม่ได้อีก ดังนี้
“ทราบว่าเจ้าของร่างบอกผู้สื่อข่าวว่าสามารถดำเนินคดีเป็นคดีใหม่ได้ โดยเป็นการดำเนินคดีตามปกติไม่เกี่ยวกับ คตส. ก็ต้องกลับมาดู ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ อีกครั้งหนึ่ง
โดยสรุปก็คือ ตามมาตรา 4 เขียนไว้ว่า ผู้ที่ถูกกล่าวหาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือ คตส. ฯลฯ ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้ถือว่าการกล่าวหาการกระทำความผิดนั้นเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เป็นผู้กระทำความผิด ฯลฯ
เมืิ่อเขียนไว่้ว่า ผู้ที่ถูก คตส.กล่าวหาว่ากระทำความผิด ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้การกล่าวหาการกระทำความผิดเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เป็นผู้กระทำความผิด
หมายความว่า คดีที่ทักษิณถูก คตส.กล่าวหาทุกคดี ให้ถือว่าไม่มีการกล่าวหา และให้ถือว่าทักษิณมิได้เป็นผู้กระทำความผิด เมืิ่อทักษิณไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดก็ย่อมไม่อาจดำเนินคดีได้
ดังนั้น คดีที่ คตส.กล่าวหาทักษิณทุกคดี ทั้งคดีที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว คดียังค้างพิจารณาอยู่ในศาล และคดีที่ยังไม่ได้ฟ้องศาล ไม่อาจดำเนินคดีเป็นคดีใหม่ได้อีกแล้วครับ”
อนึ่ง ก่อนหน้าในวันเดียวกันนี้ ท่านชูชาติ ได้โพสต์ข้อความว่า นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ที่ดอกเตอร์กฎหมายเฉลิม อยู่บำรุง เป็นผู้ร่างมาและมี ส.ส.พรรคเพื่อไทย จำนวน 163 คน ร่วมกันลงชื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และบรรจุเป็นระเบียบวาระในการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน
“มาอ่านร่าง พ.ร.บ.ปรองแห่งชาติ กันดูอีกครั้ง
มาตรา 4 บัญัติว่า บรรดาการกล่าวหาการกระทำความผิดบุคคลใดๆ ที่เกิดจากคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 หรือจากคณะบุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฯลฯ ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้ถือว่าเป็นการกล่าวหาในความผิดทางการเมือง และให้การกล่าวหาการกระทำความผิดนั้นเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เป็นผู้กระทำความผิด และให้นำความในมาตรา 3 วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 3 วรรคสอง บัญญัติว่า ฯลฯ ถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด ถ้าผู้นั้นรับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุด
กล่าวง่ายๆ ก็คือ ผู้ที่ถูกกล่าวหาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ซึ่งเป็นคณะบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คมช. ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้การกล่าวหาการกระทำความผิดนั้นเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด ถ้าผู้นั้นรับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุด
ข้อความที่เขียนไว้ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นภาษาไทยแท้ๆ คนที่อ่านภาษาไทยออกและสามารถเข้าใจได้ไม่จำเป็นต้องเรียนกฎหมายมาก็สามารถเข้าใจได้ว่า หมายความว่าอย่างไร ข้อความที่ว่า “ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้การกล่าวหาการกระทำความผิดนั้นเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้กระทำความผิด” ก็หมายความว่า ไม่มีการกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดในทุกข้อหาที่ถูกกล่าวหา และผู้นั้นมิได้กระทำความผิด ซึ่งก็เท่ากับว่า คดีที่ คตส.กล่าวหาทักษิณทุกคดีให้ถือว่าทักษิณไม่เคยถูกกล่าวหาและให้ถือว่าทักษิณมิได้กระทำความผิด ส่วนข้อความที่ว่า “ถ้ามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิด ถ้าผู้นั้นรับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษสิ้นสุดลง” ก็หมายความว่า ถ้ามีคำพิพากษาแล้วก็ให้ถืิอว่าไม่เคยถูกศาลพิพากษาว่าได้กระทำผิด ก็เท่ากับว่าคดีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษทักษิณทุกคดีให้ถือว่าทักษิณไม่เคยถูกศาลพิพากษาว่าได้กระทำความผิด
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาลงโทษทักษิณแล้ว 2 คดี คือคดีที่ดินรัชดาฯ ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี และคดีที่ได้ทรัพย์สินมาโดยมิชอบให้ยึดเงิน 46,000 ล้านบาท
ถ้าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย
คดีที่ดินรัชดาฯ ที่ศาลลงโทษจำคุก 2 ปี ก็ต้องถือว่า ข้อกล่าวหาที่ คตส.กล่าวหาทักษิณนั้น ทักษิณไม่เคยถูกกล่าวหา ทักษิณไม่ได้กระทำผิดและไม่เคยถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด เมื่อไม่มีความผิดก็ไม่มีโทษ จึงลงโทษจำคุกทักษิณ 2 ปีไม่ได้
คดีที่ถูกฟ้องว่า ได้ทรัพย์มาโดยมิชอบและศาลมีคำพิพากษาให้ยึดเงินทักษิณจำนวน 46,000 ล้านบาท ก็ต้องถือว่าทักษิณไม่เคยถูกกล่าวหา ทักษิณไม่ได้กระทำความผิดและไม่เคยถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด เมื่อไม่มีความผิดก็ยึดเงินไม่ได้ เมื่อยึดไม่ได้เงินจำนวน 46,000 ล้านบาทที่ถูกยึดมาเป็นของรัฐย่อมเป็นการยึดโดยไม่มีกฎหมายหรือคำพิพากษาศาลให้อำนาจที่กระทำได้ ก็ต้องคืนให้แก่ทักษิณแน่นอน
เมื่อรัฐต้องจ่ายเงินให้แก่ทักษิณจำนวน 46,000 ล้านบาทดังกล่าวแล้ว ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จีงเป็น ร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับการเงิน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 143 (2) จะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 142 วรรคสอง
การที่นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรรับบรรจุเป็นระเบียบวาระเพื่อพิจารณาในการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร โดยยืนยันว่าไม่ใช่ร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับการเงิน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เจ้าของร่างก็เคยบอกว่า เป็นร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับการเงิน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้คนที่ทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่คงไม่กล้าให้คำรับรองแน่นอน เพราะผู้ที่รับประโยขน์จากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มากที่สุด คือ พี่ชายของตนเอง ย่อมเข้าข่ายเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 122
แม้จะมีคนเห็นว่าเรียนกฎหมายมาน้อย ก็อาจจะจริงเพราะเรียนกฎหมายตั้งอายุยังน้อย ใช้เวลาเรียนน้อยและการสอบเข้าทำงานก็ใช้เวลาน้อยแค่ครั้งเดียว แต่ขอยืนยันว่าเป็นความเห็นที่ตีความตามตัวอักษรที่เป็นภาษาไทย ในฐานะเป็นคนไทยที่อ่านภาษาไทยออกและเข้าใจความหมายของภาษาไทย
ในฐานะที่คนไทยที่รักชาติ ต้องการรักษาผลประโยชน์คนหนึ่งและไม่มีผลประโยชน์ใดๆ จะที่ได้เป็นส่วนตัวครับ”