xs
xsm
sm
md
lg

“อดีตผู้พิพากษา” ซัด “เหลิม” แหกตา ชี้ พ.ร.บ.ปรองดองผ่าน 4.6 หมื่นล้านเสร็จแม้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา
“ชูชาติ ศรีแสง” ระบุศาลยึดทรัพย์ “แม้ว” ตาม ป.อาญา ม.18(5) ถ้าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฉบับเหลิม มีผลใช้บังคับ เท่ากับ “ทักษิณ” ไม่เคยกระทำความผิดและไม่เคยต้องคำพิพากษา เงินโกงจำนวน 46,000 ล้านบาท ต้องคืนให้ทักษิณทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นวันที่ 21 พ.ค.ท่านชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Chuchart Srisaeng ถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติฉบับที่ตนเองร่าง ว่า “ขอย้ำอีกครั้งว่า การยกเลิกความผิดทั้งหลายเป็นเรื่องทางคดีอาญา ไม่ใช่เรื่องทางแพ่ง ฉะนั้นใครก็ตามที่บอกว่าจะเอาเงินคืนนั้นแสดงว่าอ่านกฎหมายไม่ครบ อ่านกฎหมายไม่เป็น ไม่เข้าใจกฎหมาย เพราะเรื่องการเงินไม่มี” นั้น

ท่านชูชาติ กล่าวว่าดอกเตอร์กฎหมายเฉลิม อยู่บำรุง เจ้าของร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ บอกสื่อมวลชนว่า จะตัดร่างมาตรา 5 ออก และร่าง พ.ร.บ.นี้มีผลเฉพาะคดีอาญาไม่เกี่ยวกับคดีแพ่ง จึงไม่ต้องคืนเงินจำนวน 46,000 ล้านบาทให้แก่ทักษิณ

น่าสงสัยว่า ดอกเตอร์กฎหมายอย่างร้อยตำรวจเอกเฉลิม ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้เพื่อหลอกคนที่ไม่รู้ให้หลงประเด็น ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นประการหลัง เพราะไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนจบปริญญาเอกทางกฎหมายไม่รู้ แค่นักศึกษานิติศาสตร์ปีที่ 2 ที่เรียนกฎหมายอาญาภาคหนึ่งจบแล้วก็รู้ว่ากรณีนี้เป็นคดีอาญาหรือคดีแพ่ง

ร่าง พ.ร.บปรองดองแห่งชาติ มาตรา 4 บัญญัติว่า บรรดาการกล่าวหาการกระทำความผิดบุคคลใดๆ ฯลฯ ที่เกิดจากคณะบุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฯลฯ ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้ถือว่าเป็นการกล่าวหาในความผิดทางการเมือง และให้การกล่าวหาการกระทำความผิดนั้นเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เป็นผู้กระทำความผิด

กล่าวง่ายๆ ก็คือ ผู้ที่ถูกกล่าวหาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้การกล่าวหาการกระทำความผิดนั้นเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้กระทำความผิด และตามมาตรา 3 วรรค 2 ก็บัญญัติว่า ถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด ถ้าผู้นั้นรับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุด

ดังนั้นถ้าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ มีผลใช้บังคับ คดีที่ทักษิณที่ถูกกล่าวหาจาก คตส.ทุกคดี รวมทั้งคดีที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ได้ทรัพย์สินมาโดยมิชอบที่ทักษิณถูกฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและถูกศาลมีคำพิพากษาให้ริบเงินจำนวน 46,000 ล้านบาท ก็เป็นระงับไปโดยให้ถือว่าทักษิณไม่เคยกระทำความผิดและไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิด

เมื่อทักษิณกลายเป็นคนที่ไม่เคยกระทำความผิดและไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด ก็ย่อมหมายความว่าไม่มีคำพิพากษาของศาลให้ริบเงินจำนวน 46,000 ล้านบาท เมื่อไม่มีคำพิพากษาก็ริบเงินไม่ได้ เงินจำนวนดังกล่าวก็ต้องคืนให้แก่ทักษิณ

ที่ท่านดอกเตอร์เฉลิม ว่า เรื่องเงิน 46,000 ล้านบาทเป็นคดีแพ่งนั้น คดีนี้ทักษิณถูกฟ้องที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 275 บัญญัติว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเท่านั้น ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง

ประมวฎหมายอาญา มาตรา 18 บัญญัติว่า โทษสําหรับลงแก่ผู้กระทําความผิดมีดังนี้
........(1) ประหารชีวิต
........(2) จําคุก
........(3) กักขัง
........(4) ปรับ
........(5) ริบทรัพย์สิน

การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้ริบเงินของทักษิณที่ได้มาโดยมิชอบจำนวน 46,000 ล้านบาท ก็คือการลงโทษให้ริบทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18(5) นั่นเอง ซึ่งก็เป็นการลงโทษผู้กระผิดคดีอาญา

สรุปก็คือ ถ้าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย กระทรวงการคลังก็ต้องเอาเงินงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นเงินที่เก็บภาษีไปจากคนไทยทุกคนรวมทั้งคนเสื้อแดงด้วยคืนแก่ทักษิณจำนวน 46,000 ล้านบาท แน่นอนครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น