"รศ.สมพร" ยันจำนำข้าวขาดทุน 2 แสนกว่าล้านจริง ซ้ำคนไทยยังเสี่ยงกินข้าวเสื่อมคุณภาพ เผยทำจีทูจีกับต่างประเทศไร้ผลคู่ค้าหันไปซื้อจากเวียดนามเป็นหลักแทน พร้อมแนะรัฐบาลเลิกแบ่งพวก ตั้งทีมประเทศไทยขึ้นมาหาทางระบายข้าว ชี้ได้ราคาต่ำยังดีกว่าเก็บไว้นาน 2 ปี ซึ่งตอนนั้นความเสียหายจะมีมหาศาล ด้าน "อ.ณรงค์" เสนอวิธีขายแบบผ่อนจ่าย 10 ปี ให้ประเทศยากจน
วันที่ 20 มิ.ย. รศ.สมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโสสถาบันคลังสมองของชาติ และ รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมสนทนาในรายการ "คนเคาะข่าว" ออกอากาศทางเอเอสทีวี
โดยนายสมพร กล่าวว่า ข้าวที่เหลือตอนนี้จริงๆ จากตัวเลขที่รัฐบาลรายงาน ทอนเป็นตัวเลขง่ายๆข้าวนาปี 54 มีเข้ามาจำนำ 7 ล้านตัน นาปรัง 15 ล้านตัน รวมแล้วเป็น 22 ล้านตันข้าวเปลือก สีเป็นข้าวสารก็เหลือประมาณ 14 -15 ล้านตัน นาปี 55 เข้ามาอีก 5 ล้านตัน แล้วฤดูนาปรังไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตัน รวมๆแล้วตอนนี้มีประมาณ 37- 38 ล้านตันข้าวเปลือก ทอนเป็นข้าวสารได้ประมาณ 25 - 26 ล้านตันข้าวสาร จำหน่ายไปบ้าง ทำข้าวสารธงฟ้าประมาณ 3 ล้านตัน ฉะนั้นเหลือ 22 ล้านตัน
ถ้าเอาข้อมูลมาดูว่าขาดทุนเท่าไหร่ รัฐซื้อมา 1.5 หมื่นบาท สีเป็นข้าวสารจะตกที่ 2.35 หมื่นบาทต่อตัน แต่ราคาตลาดตอนนี้ 1.53 หมื่นบาท ฉะนั้น 8.2 พันบาท คือส่วนต่าง เอาคูณด้วย 22 ล้านตัน ก็จะเห็นภาพง่ายๆว่าขาดทุน 2 แสนกว่าล้าน นี่ยังไม่รวมค่าอื่นๆและค่าเสื่อมสภาพของข้าว ตอนนี้ในหลายๆโกดังไม่มีที่เก็บแล้วและต้องรมควัน ข้าวเสื่อมคุณภาพ เป็นมอด เหม็นอับ มีกลิ่น ตอนนี้มีข้าวที่เก็บไว้นานระบายออกมา แต่ไม่ได้ระบายในต่างประเทศเพราะขายไม่ออก ก็ระบายตลาดในประเทศ ฉะนั้นผู้บริโภคที่ไม่ได้เลือกแหล่งที่มาของข้าวดีๆจะได้รับผลกระทบจากข้าวเสื่อมคุณภาพ
การที่รัฐบาลบอกว่าทำเอ็มโอยูไว้กับประเทศต่างๆนั้น เป็นจริงแต่นั่นระบุว่าจะซื้อในราคาตลาดคือเราต้องยอมขายขาดทุน แล้วที่ผ่านมาปี 55 ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวจากไทย 3 พันตัน จากที่เคยนำเข้า 2 แสนตัน บังกลาเทศนำเข้า 97 ตัน จากที่เคยนำเข้า 2 - 3 แสนตัน แล้วไปซื้อเวียดนามแทน แล้วที่เป็นข่าวครึกโครมว่าทำจีทูจีกับจีนว่าจะซื้อ 1 ล้านตัน ปรากฎว่าจีนเอาแค่ 2 แสนตัน แล้วไปซื้อจากเวียดนามกับอินเดียเป็นส่วนมาก สะท้อนว่าจีทูจีไม่ได้มีผลแท้จริง แล้วข้าวที่ไปจีนไม่ใช่ที่รัฐบาลส่งไป แต่เป็นของเอกชนที่ส่งออก เป็นข้าวพรีเมี่ยม ซึ่งมีตลาดเฉพาะอยู่แล้ว
นายสมพร กล่าวแนะนำรัฐบาลว่า สำหรับข้าวที่เหลืออยู่ วิธีที่ดีที่สุดรัฐบาลต้องพยายามทำข้อมูลให้โปร่งใส ให้ประชาชนได้รู้ รัฐเคยตั้งกรรมการเพื่อระบายข้าวในตลาดสินค้าเษตรล่วงหน้า ถึงวันนี้ยังไม่เคยเห็นข้าวสักเม็ดถูกระบายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า นี่คือข้อผิดพลาด
ที่สำคัญเกี่ยงเขาเกี่ยงเราไม่ได้แล้ว อาจต้องตั้งทีมประเทศไทยขึ้นมา เอาพ่อค้า ผู้ส่งออกต่างๆเข้ามาร่วม เพื่อหารือผลักดันข้าวออก แม้ขายได้ราคาต่ำแต่ยังดีกว่ารอ 2 ปี ตอนนั้นความเสียหายจะมหาศาล ขณะเดียวกันต้องมีนโยบายไม่เพิ่มสต็อกด้วย เพราะถ้าไม่หยุดภาระการคลังจะระเบิดขึ้น
นายณรงค์ กล่าวว่า ตอนนี้โลกทั้งโลกพยายามลดบทบาทการค้าของรัฐบาลลง และพยายามให้เอกชนทำแทน แต่รัฐบาลไม่ยอมรับความจริงเรื่องโลกาภิวัตน์ ไม่ยอมรับนโยบาย WTO คือให้เอกชนทำการค้าเสรี ประการต่อมาเรื่องการเก็บข้าว เมื่อก่อนต้องรมยาทุก 3 เดือน แต่เดี๋ยวนี้อุณภูมิโลกเปลี่ยน มอดแมลงหลากหลายขึ้น เลยต้องรมยาทุก 2 เดือน แล้วถามว่าใช้ยาอะไร เพราะถ้ารม 2 ครั้งแล้วยังมีมอด ครั้งหน้าต้องใช้ยาแรงขึ้น ปีนึงรมยา 6 ครั้ง 2 ปี รมยา 12 ครั้ง ข้าวที่รมยา 12 ครั้ง กินกันไหวหรือ อันนี้คือความจริง ตนอยู่ตรงนั้นมาก่อน ดังนั้นพูดความจริงให้หมดแล้วช่วยกันแก้ดีกว่า อย่ามานั่งโกหกกัน
นอกจากนี้ข้าวเก็บไว้นาน 6 เดือน เสื่อมสภาพ 10 เปอร์เซ็นต์ 1 ปี เสื่อม 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วปกติเวลาซื้อขายข้าวถ้าเก็บไว้นาน 1 ปี ราคาจะต่ำกว่าราคาตลาด 20 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นจะขาดทุนแค่ 1.3 แสนล้านได้อย่างไร ถ้าเก็บข้าวไว้นาน 2 ปี แล้วค่อยระบาย ราคาจะต่ำกว่าตลาด 30 - 40 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย แล้วจะมีรายได้ตรงไหน ตอนนี้รัฐบาลเหมือนลิงแก้แห แก้ไปก็พันตัวหมด ถ้าตนเป็นรัฐบาลจะเลิกนโยบายเลย แล้วกลับไปสู่วิธีแก้คือ ต้องลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพ และประกันราคาตามความจำเป็น โดยรับไม่เกินรายละ 10 ตัน เพราะคนจนมีข้าวไม่เยอะ ถ้าจะช่วยคนจนจริงต้องช่วยตรงนี้
นายณรงค์ ยังกล่าวแนะนำรัฐบาลว่า ถ้าเก็บข้าวไว้ 2 ปี จะกินไม่ได้แล้ว ตนขอเสนอให้ไปเจรจาขายให้กับประเทศยากจน แบบผ่อนจ่าย 10 ปี ประเทศพวกนี้ขาดแคลนอาหารแต่ไม่มีเงินซื้อ ดีกว่าทิ้งเปล่า อเมริกาเคยทำแบบนี้ตอนข้าวล้นตลาด ทั้งได้หน้าและได้ระบายข้าวด้วย