“นช.ทักษิณ” โพสต์เฟซบุ๊กอ้างไปปักกิ่ง พบหมอรักษาคนไข้แบบ “มององค์รวมการทำงานของอวัยวะ” พร้อมให้เจาะเลือดไปตรวจ ไม่วายเหน็บรัฐธรรมนูญ 50 ยังล้าหลัง มองปัญหาแบบแยกส่วน ธปท. กระทรวงคลัง สภาพัฒน์ องค์กรอิสระ ศาล ทำงานไม่สอดคล้องรัฐบาล
เมื่อเวลา 17.00 น. วันนี้ (11 พ.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ระหว่างการหลบหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีในคดีที่ดินรัชดาฯ และหนีหมายจับคดีคดีก่อการร้ายรวมทั้งคดีทุจริตอีกหลายคดี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแฟนเพจ “Thaksin Shinawatra” พร้อมภาพถ่ายที่กำแพงเมืองจีน ด้วยสีหน้าที่อิดโรยแม้จะพยายามฝืนยิ้มก็ตาม โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้ถามผู้อ่านว่า เคยได้ยินคำว่า Functional Medicine หรือไม่ ตอนนี้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของวงการแพทย์อเมริกาที่กำลังฮิต ตนบังเอิญมาปักกิ่งได้พบกับแพทย์ชาวจีนที่เป็นลูกศิษย์ของหมออเมริกันที่ดูแลสุขภาพให้ทั้งประธานาธิบดีโอบามา และประธานาธิบดีคลินตัน เขาใช้วิธีการ Functional Medicine นี้นั่นเอง
“หลักการก็คือเขามีความเชื่อว่าอวัยวะทุกส่วนถ้าทำงานร่วมกันได้ดีไม่มากไปไม่น้อยไป ก็จะทำให้ร่างกายกลับมามีความสมดุลและก็จะแข็งแรง โรคเล็กโรคน้อยก็จะหายไปอย่างปลิดทิ้ง โดยอาศัยการค้นพบ DNA ของมนุษย์แล้ววิเคราะห์ได้อย่างละเอียดถึงความบกพร่องในการทำงานของมันแล้วให้ยาที่เหมาะสมเพื่อแก้ไข หมอจีนคนนี้ก็เลยเจาะเลือดผมไปเป็นสิบหลอดพร้อมปัสสาวะ ส่งไปตรวจ Lab ที่สหรัฐอเมริกา จะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ก็จะวิเคราะห์กลับมาพร้อมบอกว่าจะต้องทานยาอะไร งด/เพิ่มอาหารหมวดไหน ร่างกายเราก็จะทำงานได้เหมือนคนอายุน้อยกว่าอายุจริง ที่เมืองไทยก็มีการทำเช่นนี้แล้ว แต่ก็ต้องส่งไปตรวจ Lab ที่อเมริกาเช่นกัน
ที่ผมพูดให้ฟังก็อยากจะให้ทุกคนได้รู้จักรักษาร่างกายตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปให้ดีขึ้น และมากกว่านั้นคือผมอยากจะพูดถึงวิชาการบริหารองค์กรและแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของมนุษย์ (Paradigm Shift) ที่เปลี่ยนจากวิธีคิดที่เป็นไปตามวิวัฒนาการตามที่ Alvin Toffler เคยพูดไว้เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้วในหนังสือ The Third Wave คือยุคเกษตร มาสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมและยุคสังคมข่าวสาร ซึ่งวิธีคิดก็จะเปลี่ยนตาม ช้า/เร็วแล้วแต่สาขาวิชาและประเทศ
Functional Medicine ก็เป็นการเปลี่ยนความคิดที่มองปัญหาเป็นจุดๆ เหมือนยุคอุตสาหกรรม มาเป็นยุคการมองแบบองค์รวมของการทำงานร่วมกันของอวัยวะภายในร่างกายหรือองค์กรเดียวกันนั่นเอง ไม่แยกส่วน การแก้ปัญหาก็จะง่ายเพราะมองปัญหาได้ในภาพรวม วางยุทธศาสตร์ วิธีคิดและวิธีการศึกษา วิธีการบริหารองค์กร
โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ยังล้าหลังอยู่มาก ยังมองปัญหาแยกส่วน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น หรือองค์กรอิสระ ศาล รัฐบาล สภาฯ ซึ่งประเทศต้นแบบที่เราไปเรียนมาเขาก็ไม่เป็นแบบเรา ประเทศไทยจึงขาดการมียุทธศาสตร์ชาติที่เป็นการมองประเทศไทยอย่างเป็นองค์รวม การแก้ปัญหาก็ยังไม่เข้าใจ คำว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คือเราไม่จริงจังกับการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนั่นเอง” นักโทษหนีคดีกล่าวอ้างผ่านเฟซบุ๊ก