ผ่าประเด็นร้อน
คำพูดย้ำอยู่แบบเดิมของคนในรัฐบาลหุ่นเชิดของ ทักษิณ ชินวัตร ไล่เรียงลงมาตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่บอกว่าไทยต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลกอย่างเต็มที่ และ "หวังว่าศาลโลกจะตัดสินอย่างเป็นธรรมและสันติ" ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้คนไทยอยู่ในความสงบ โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์กับกัมพูชาด้วย
คำพูดและท่าทีดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็น "เอกภาพ" อย่างแนบแน่นเหมือนกับการร้องเพลงเดียวกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รวมไปถึงคนอื่นๆที่ย้ำว่า "สู้เต็มที่" แต่เมื่อศาลโลกตัดสินออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับ
อย่างไรก็ดีเกมดังกล่าวกำลังไหลลื่นในศาลโลกแต่แล้วก็ดันมี หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ชื่อ จารุพงษ์ เรืองสุวรรณ ทะเร่อทะร่าออกมา "ปล่อยของ" ชี้ให้เห็นว่า การต่อสู้คดีในศาลโลกคราวนี้เรา "ใช้ทนายความชุดเดิม" นั่นคือชุดปัจจุบันจุบันที่นำโดย "วีรชัย พลาศรัย" นี่แหละ ชุดที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมี กษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาฝ่ายรัฐบาลชุดที่แล้วและพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบ
ความหมายก็คือ นี่คือเกมที่วางเอาไว้อย่าง อำมหิตที่สุด ไม่ต่างจาก "แผนชั่ว"ที่ไม่มีความสำนึกรับผิดชอบคิดแต่เพียงต้องการฉวยโอกาศทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเท่านั้น เพราะหากพิจารณาจากคำพูดของคนที่เป็นถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อย่างจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ทำให้เข้าใจได้ว่าในใจลึกๆแล้วหวังให้ฝ่ายกัมพูชาชนะคดีเสียอีก เพราะหากได้ดินแดนรอบปราสาทเพิ่มเติมเข้าไปอีกจะทำให้การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้สมบูรณ์ขึ้น เพราะที่ผ่านมารัฐบาลนอมินีในยุคที่ นพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเคยลงนามในแถลงการณ์ร่วมยอมรับให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนฯได้ฝ่ายเดียวนำร่องมาแล้ว
ขณะเดียวกันถ้าพิจารณาถึงคำแถลงด้วยวาจาของ ฮอร์นำฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาที่เป็นหัวหน้าคณะก็ยังยกย่องเชิดชูไปถึง รัฐบาลยุค ทักษิณ ชินวัตร ว่าความสัมพันธ์ดีเยี่ยมมีการผ่อนปรนแทบทุกเรื่อง ประกอบกับเมื่อย้อนกลับไปพิจารณาจากหลักฐานเอกสารเก่าๆก็พบว่าในยุครัฐบาล ทักษิณ นี่แหละ ที่ปล่อยปละละเลยไม่ประท้วง เปิดทางให้ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเข้ามาสร้างวัด สร้างชุมชนขึ้นมาในพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรซึ่งเป็นพื้นที่ของไทยอย่างถาวร รวมไปถึงข่าวคราวในเรื่องการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้านธุรกิจพลังงานในอ่าวไทยมาตลอด
นี่ก็คือเหตุผลประกอบความเชื่อที่ว่านี่แหละอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีคนบางคนในรัฐบาลชุดนี้ประสงค์ให้ฝ่ายไทยแพ้คดีเสียดินแดนรอบปราสาทพระวิหารก็ได้ เพราะที่ผ่านมาได้ออกตัวมาแล้วว่า "นี่ไงสู้เต็มที่แล้ว ทนายก็ทนายความชุดเดิม" ไม่ได้ไปแทรกแซง ตรงกันข้ามยังมีท่าทีให้เห็นว่าสนับสนุนการทำงานอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะมีภาพที่ 3 รัฐมนตรีที่ป็นตัวแทนฝ่ายไทยอุตส่าห์เดินเข้าไปค้อมหัวไหว้ทำความเคารพ ฮอร์นำฮง อย่างนอบน้อมให้เป็นภาพบาดตาคนไทยที่ชมผ่านโทรทัศน์ไปทั่วประเทศก็ตาม ลักษณะไม่ต่างจาก "เคารพคนของนาย" ก็ไม่ปาน เพราะต่องไม่ลืมว่า ทักษิณ ชินวัตร เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของ ฮุนเซน มาแล้ว
ขณะเดียวกันเมื่อตีความจากความหมายของคำพูดที่ย้ำออกมาจากปากของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ย้ำตลอดเวลาว่าต้อง "คำนึงถึงความสัมพันธ์" คำถามก็คือนอกจากความสัมพันธ์ทางธุรกิจสัมปทานของ "ใคร"บางคนที่กำลังได้รับอย่างเต็มเปี่ยมในแบบ "รวยร่วมกัน" แล้วยังมีอีกเรื่องที่อาจจะเกี่ยวของกันนั่นคือในเดือนหน้า ครอบครัวของ สมชาย-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ก็จะเป็น "ดอง" จะมีการ"แต่งงานข้ามชาติ" กับเครือข่ายการเมืองสำคัญในกัมพูชา มันต้องระวังความสัมพันธ์เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า
ดังนั้นถ้าให้สรุปแบบฟันธงแบบกล่าวหาหลังจากได้ประมวลจากเรื่องราวหลายอย่างมาปะติดปะต่อกัน ทั้งคำพูดและพฤติกรรมพร้อมทั้งเอกสารอ้างอิงจากความจริงมันทำให้เห็นว่าการเดินเข้าสู่ศาลโลกของไทยรอบที่สองครั้งนี้ที่เริ่มในยุครัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำให้เสียท่ามาตั้งแต่นั้นและถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปิดปากคนไทยว่าเมื่อศาลโลกตัดสินแล้วต้องยอมรับ แต่อีกมุมหนึ่งนี่คือ "แผนฮั้วกันข้ามชาติ" ข้ามตระกูล ระหว่าง ทักษิณ กับฮุนเซน เพราะพวกเขา "มีแต่ได้กับเสมอตัว" ขณะที่คนไทยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มีแต่ "เจ๊ากับเจ๊ง" จริงๆ !!