ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่าจะเปลี่ยนบุคลิกใหม่จากเดิมที่เคยบอกว่าจะไม่เดินทางไปศาลโลกเพื่อร่วมในทีมสู้คดีที่กัมพูชายื่นเรื่องให้ตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ว่าครอบคลุมไปถึงพื้นที่โดยอบปราสาทพระวิหารด้วยหรือไม่ คราวนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยที่ชื่อ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล บอกว่าจะไม่ไปที่นั่น แต่บอกให้คนไทยทำใจล่วงหน้าว่าผลจากการต่อสู้คดีในครั้งนี้ว่า “มีแต่เจ๊ากับเจ๊ง” และคนคนนี้แหละที่เคยนำพระ “สยามเทวาธิราสจำลอง” ไปมอบให้ “ฮุน เซน” อย่างนอบน้อมมาแล้ว ขณะที่อีกคนที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ก็รีบออกมาพูดตั้งแต่ไก่โห่ว่า “เมื่อศาลโลกตัดสินออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับ” อ้างว่าหากยังขัดขืนหรือไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกก็จะทำให้ถูกนานาชาติบอยคอต ไม่มีใครคบ ถัดมาก็เดินทางอ้อมปราสาทตามเส้นทางที่กัมพูชากำหนดไว้ขึ้นไปกินข้าวเหนียวไก่ย่างกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายโน้นหน้าตาเฉย
ส่วน ทักษิณ ชินวัตร ที่เจ้าของคนพวกนี้ก็เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของ ฮุน เซน และเคย “ร่วมรวย” กันมาตั้งแต่ในอดีตและคิดว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงอนาคตอันไกลโพ้น
นั่นเป็นเรื่องของแนวโน้มในเรื่องเสียอธิปไตยของชาติ จากการใช้ศาลโลกปิดปากคนไทยให้หุบปาก
ขณะเดียวกัน แผนสองต่อเนื่องกันไปก็คือ โยนความผิดให้กับรัฐบาลประชาธิปัตย์ในอดีตว่าเป็นต้นเหตุหากเสียดินแดน โดย หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ย้ำตลอดว่า “ใช้ทนายชุดเดิม”ที่ตั้งโดยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในยุค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่นแหละ
ดังนั้น ถ้าพิจารณาจากความเคลื่อนไหวเท่าที่เห็นก็เหมือนกับว่า “รัฐบาลพรรคเพื่อไทยสู้ให้แพ้แล้วโยนความผิดให้ประชาธิปัตย์รับไปเต็มๆ” ต้องการชี้นำให้เห็นอย่างเป็นขั้นเป็นตอนว่าหากศาลโลกตัดสินให้เสียดินแดนก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับคู่หู คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทำให้เกิดความตึงเครียดจน ฮุน เซน ต้องนำเรื่องไปร้องศาลโลกอีกรอบ
แต่เดี๋ยวก่อน นั่นเป็นแผนชั่วที่ “เลวพอกัน” และเลวอย่างต่อเนื่อง มีเรื่องของผลประโยชน์อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าฝ่ายรัฐบาลประชาธิปัตย์เข้าไปไม่ถึงกลางใจ ฮุนเซน เท่านั้นเอง อาจเป็นเพราะยังบางเรื่องไม่ลงตัวก็ได้ เพราะขนาด ทักษิณ ชินวัตร กับฮุนเซนเมื่อหลายปีก่อนเคยขัดแย้งถึงขั้นคิดเอาชีวิตกันมาแล้วในเรื่องสัมปทานโทรคมนาคม 99 ปี แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน ผลประโยชน์เปลี่ยนจากหน้ามือมันก็กลายเป็หลังเท้าได้หมือนกัน
หากจะย้อนเหตุการณ์กรณีที่กำลังเกิดขึ้นในศาลโลก ทำให้คนไทยต้องเสี่ยงในเวลานี้ อันที่จริงเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ตั้งแต่แรกโดยการประกาศไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ต้น และปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวโดยการถอนกำลังออกมาจากเขตพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรอันเป็นพื้นที่ของไทย “ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน” ใดๆ ทั้งสิ้น
แต่เมื่อเราเริ่มต้นผิดในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มันก็ต้องผิดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
อีกทั้งเมื่อมาถึงยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใต้การอุปถัมภ์ ของที่ปรึกษา ฮุน เซน อย่าง ทักษิณ ชินวัตร แน่นอนว่ามันก็ยิ่งเข้าทาง เพราะเท่ากับว่าเป็นการจงใจเดินไปตามเกมเข้าไปสู่ศาลโลก ซึ่งมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยที่ชื่อ สุรพงษ์ หลุดปากให้ทำใจ และ รัฐมนตรีกลาโหมไทยที่ชื่อ พล.อ.อ.สุกำพล บอกต่อว่าถ้าศาลโลกตัดสินออกมาอย่างไรคนไทยกก็ต้องยอมรับ และถ้าผลออกมาอย่างนั้นจริงรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็จะโยนความผิดไปที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ทันทีว่าได้ใช้ทีมทนายชุดเก่า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วหากเห็นถึงความเสียเปรียบหรือม่เหมาะสมก็สามารถเปลี่ยนตัวบุคคลได้ หรือแม้แต่การประกาศท่าทีไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกก็ทำได้ตลอดเวลา แต่นี่กลับไม่ทำ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกมองว่าเป็นการสมคบกันยกดินแดนให้กัมพูชา โดยใช้ศาลโลกเป็นเครื่่องมือ
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากการแถลงด้วยวาจาของฝ่ายกัมพูชาเมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมาทำให้มองเห็นว่าเขาย้ำในเรื่องแผนที่มาตราส่วน หนึ่งต่อสองแสน และพยายามร้องเหมือนกับว่าเป็นเรื่องคดีใหม่ ซึ่งกรณีดังกล่าวหากไทยไม่โต้แย้งและรอให้ศาลโลกตัดสินในเรื่องดังกล่าวในเรื่องแผนที่ นั่นเท่ากับว่าเป็นความหายนะของไทยโดยแท้ เพราะไม่ใช่เสียหายเฉพาะพื้นที่โดยรอบปราสาทเนื้อที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร แต่จะมีผลต่อเนื่องไปถึงพื้นที่ชายแดนอื่นๆ ของไทย เพราะกัมพูชาจะใช้บรรทัดฐานดังกล่าวอ้างอิงในการลากเส้นแบ่งเขตแดนใหม่ทั้งบนบกในทะเล นั่นก็หมายว่าจะรวมถึงพื้นที่ในอ่าวไทยอันอุดมด้วยทรัพยากรพลังงานจะกลายเป็นของกัมพูชาเพิ่มขึ้น และนั่นอาจเป็นความต้องการของ “บางคน” ที่คิดว่าคุยกันเป็นส่วนตัวกับ ฮุน เซน ง่ายกว่าก็เป็นได้
ดังนั้น หากพิจารณาจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบด้านแล้ว มีแนวโน้มสูงว่าไทยจะพ่ายแพ้และอย่างน้อยอาจต้องเสียดินแดนที่เป็นพื้นที่โดยรอบเพิ่มเติม และถ้าเลวร้ายไปกว่านั้นหากศาลโลกตีความครอบคลุมไปถึงเรื่องแผนที่ที่เรียกว่า “ระวางดงรัก” ที่อ้างอิงในเรื่องมาตราส่วน หนึ่งต่อสองแสน มันก็ยิ่งเสียหายจะกระทบไปถึงการแบ่งเขตแดนใหม่ที่ไม่แน่ว่า อาจมีบางคนที่ “หน้าเหลี่ยมๆ” แอบลุ้นอยู่ด้วยใจระทึกก็เป็นได้!!