ผ่าประเด็นร้อน
จะเป็นเพราะพูดไปตามโพย ตามหัวข้อที่บรรดากุนซือข้างกายเน้นย้ำเอาไว้ล่วงหน้าว่าสื่อจะต้องถามเรื่องอะไรแล้วต้องตอบในแนวกว้างๆแบบไหน เพื่อไม่ให้เสี่ยท่าเสียหลักการ แต่บังเอิญว่าคำตอบของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะไปร่วมงานของสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย เมื่อค่ำวันที่ 11 มีนาคม กล่าวถึงเรื่องที่กัมพูชาไปร้องศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ว่าครอบคลุมไปถึงอาณาบริเวณรอบปราสาทพระวิหารด้วยหรือไม่ โดยเธอได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า ไทยต้องยอมรับอำนาจของศาลโลก และยังหวังว่าคนไทยจะเข้าใจและยอมรับอีกด้วย
ความหมายของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ แสดงออกมาเป็นครั้งแรก และชัดเจนว่า หากศาลโลกตัดสินว่าอาณาบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา คนไทยก็ต้องยอมรับ ซึ่งพื้นที่อาณาบริเวณโดยรอบปราสาทดังกล่าวยังหมายรวมถึงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเนื้อที่ราว 3พันไร่ที่เป็นของไทยมาแต่เดิมก็ต้องยกให้กัมพูชาอีกด้วย
อย่างไรก็ดีท่าทีดังกล่าวถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมายังไม่เคยแสดงออกมาจากปากของ นายกรัฐมนตรีเท่านั้น เป็นเพียงคำพูดและความเคลื่อนไหวที่สะท้อนผ่านทางรัฐมนตรีบางคน ซึ่งเลยเถิดถึงขั้น “ยอมแพ้หรือแกล้งแพ้” ให้กับฝ่ายกัมพูชามาตั้งแต่ต้น ดังที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เคยออกมาบอกให้คนไทย “ทำใจ” ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก และบอกไว้ก่อนว่า “เรามีแต่แพ้และเสมอตัวเท่านั้น”
ที่สำคัญยังอ้างหน้าตาเฉยมาบิดเบือนข้อมูลกับคนไทยให้คล้อยตามว่าหากเราไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก จะทำให้นานาชาติบอยคอต ทำมาค้าขายกับต่างประเทศไม่ได้ ต้องอยู่โดดเดี่ยวในที่สุด
ขณะเดียวกันในตอนแรก สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ฟังให้สัมภาษณ์นึกว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาบอกว่าเขาจะไม่เดินทางนำคณะฝ่ายไทยไปร่วมแถลงปิดคดีด้วยวาจาที่ศาลโลกในช่วงกลางเดือนเมษายนด้วยซ้ำไป แต่เมื่อถูกชาวไทยที่รักชาติและตื่นตัวหวงแหนแผ่นดินที่ไม่ยอมเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว รวมทั้งไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีของชาติรุมประณามอย่างหนัก ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจกระทันหัน
รัฐมนตรีอีกคนหนึ่งที่แสดงท่าทีอย่างชัดเจนที่ต้องการให้คนไทยยอมรับอำนาจของศาลโลก ก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต และล่าสุดก็เพิ่งแสดงท่าที “เป็นสัญลักษณ์” ยอมเดินขึ้นเขาพระวิหารไปกินข้าวเที่ยงกับ รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชา เตีย บัณห์ “ตามคำเชิญ” นั่นคือ “ฝ่ายโน้นเป็นเจ้าภาพ” ซึ่งเท่ากับว่าเรายอมรับการประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนบริเวณนั้นไปโดยปริยาย
แต่ที่น่าเจ็บปวดก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวตำหนิคนไทยที่คัดค้านว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยยกเอาเรื่องดังกล่าวมาอยู่เหนือทุกสิ่ง แม้กระทั่งกรณีที่ทหารพรานของไทยเหยียบกับระเบิดตามแนวชายแดน ทางฝ่ายกระทรวงกลาโหมก็วางเฉย ขณะที่กระทรวงต่างประเทศก็ไม่ทำการประท้วงกัมพูชา โดยอ้างว่ายังไม่มีหลักฐานแน่ชัด
คำกล่าวและท่าทีดังกล่าว ล้วนเป็นการออกแบบวางแผนมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนโดย “ใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือ” ในการตบตายกพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชา เพื่อให้สามารถ “บริหารจัดการ” ได้อย่างสมบูรณ์ในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อแลกกับความสัมพันธ์พิเศษบางอย่างที่คนไทยบางคนจะได้รับ ซึ่งหมายถึง ทักษิณ ชินวัตร ใช่หรือไม่ ในเรื่องของผลประโยชน์ทางด้านพลังงานรวมทั้งสัมปทานหลายอย่างจะตามมา
การยกเอาเหตุผลให้คนไทยยอมรับอำนาจศาลโลก เพื่อต้องการปิดปาก เนื่องจากต้องการแสดงให้เห็นว่าเราต้องยอมรับอำนาจศาล เมื่อตัดสินออกมาแล้วก็ต้องยอมรับ เหมือนกับศาลไทยที่มีคำพิพากษาออกมาแล้วทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับ แม้จะไม่พอใจก็ตาม แต่กรณีที่เกิดขึ้นถือว่าคนละเรื่อง เอามาเทียบเคียงกันไม่ได้ เพราะศาลโลกไม่มีสิทธิ์มาชี้ขาดในเรื่องอธิปไตยของอีกประเทศหนึ่ง ขณะเดียวกันที่ผ่านมนับตั้งแต่ปี 2505 ไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาว่าด้วยขอบเขตอำนาจศาลโลกหลังจากที่พิพากษาให้ไทยแพ้คดีปราสาทพระวิหาร
ดังนั้นสิ่งที่คนไทยรักชาติต้องการให้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รีบดำเนินการก็คือ รีบประกาศท่าทีอย่างเป็นทางการว่าเราไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก และที่ผ่านมาเราได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาถูกต้องครบถ้วนแล้ว และเราขอสงวนสิทธิ์ในการรักษาอธิปไตยของเราอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ไปประกาศบิดเบือนยอมรับอำนาจศาลโลกอย่างที่เป็นอยู่
กรณีที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นอีกระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องรับผิดชอบ หากศาลโลกตัดสินให้พื้นที่อาณาบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา เพราะนี่คือการ “ขายชาติ” โดยใช้เล่ห์เหลี่ยมใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือตบตา !!